Sunday, October 18, 2009

For those who understand the future of a radical price.






เข้าเซเว่นทีไรเป็นต้องเห็นหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้วางสลอนอยู่บนแผงตลอด บางเล่มจะมีรอยยับเยอะหน่อย ประมาณว่าผ่านมือคนอ่านที่ไม่ซื้อมาหลายมือ หนังสือพิมพ์ที่ว่าด้วยเรื่องวงการบันเทิงประเภทนี้น่าจะเป็นวิวัฒนาการมาจากหน้าหนึ่งของไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์หรือส่วนที่สองของเดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์เช่นกัน - ไม่ปฎิเสธ - ผมชอบหยิบมาดู แต่ไม่เคยเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน บ่อยๆเข้าเริ่มสงสัยแล้วล่ะ ว่าหนังสือพิมพ์ที่ว่าด้วยเรื่องวงการบันเทิงพิมพ์ 4 สีกระดาษดีๆทั้งเล่มแบบนี้ มันออกรายอะไรกันแน่? เพราะบางทีอาทิตย์เดียวเคยเห็นออกมา 3 ปก หรือว่าราย 3 วัน?
ไม่ได้สงสัยด้วยว่าทำออกมาทำไมวะ ไอ้พวกหนังสือพิมพ์ไร้สาระแบบนี้ ก็นี่มันเพื่อความบันเทิง ผมเข้าใจคนทำนะ โมเดลธุรกิจของหนังสือพิมพ์ประเภทนี้มันขายได้แน่ๆ และน่าจะขายดีและกำไรดีด้วย เพราะอย่างแรกๆเลยคือ ภาพดาราแต่ละภาพที่พิมพ์ในหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้ ล้วนแทบไม่ต้องลงทุนในการ set ถ่ายขึ้นมาใหม่! ดาราชุดวาบหวิวที่เห็นๆนั้นก็มาจากนิตยสารแฟชั่นฉบับอื่น ลงเครดิตให้เรียบร้อยเป็นอย่างดีว่าภาพจากนิตยสารเล่มไหน ถ้าไม่ใช้ภาพจากที่อื่นก็ใช้นักข่าวประจำไปถ่ายภาพดารา/เซเลบตามงานเปิดตัวสินค้า แน่นอน ยิ่งโป๊ยิ่งดี ต่อด้วยภาพที่บรรดฝ่ายโปรโมทหนังหรือละครส่งภาพมาฝาก PR หรืออีกวิธีก็เอามาจาก facebook ของดาราพวกนั้นแหละ
ที่เกิดการ participate กับคนอ่านมากขึ้นมาอีกหน่อยก็คือการบอกราคาภาพถ่ายสำหรับปาปารัซซี่มือสมัครเล่น แต่ละฉบับจะลงไปเลยว่า ถ้าคุณถ่ายภาพ topic พวกนี้มาและได้ตีพิมพ์ก็รับเงินไปเลยตามเรทราคา (เป็น section ที่ผมอ่านบ่อยสุด) ยกตัวอย่าง - ล่าดารา paparazzi ถ่ายมาดี มีรางวัล Price List Today : จุ๋ม-นุสรา พร้อมเพื่อนที่ดูไบ 15,000 B ภาพอั้มขณะตัดฟัน 3,000 B หวอพลอย-เฌอมาลย์ 150 B
ภาพที่ผมซื้อมาราคาฉบับละ 20 บาทจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง? งานคอลลาจชุดนี้คือบันทึกความบันเทิงเจริญหูเจริญตาที่ใครๆก็ชอบทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่-ชายหรือว่าหญิง (ยกเว้นดาราที่โดนถ่ายหวอมาลงบ่อยๆ) นี่คือ visual diary ที่เอาไว้เช็คเรทติ้งดาราแต่ละรายฉบับย่อ (ระยะเวลาเกือบปีที่หมกมุ่นเก็บภาพดาราจากหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้ สามารถบอกได้คร่าวๆว่า อั้ม พัชราภา ปู ไปรยา ชมพู่ อารยาและกิ๊บซี่ คือดาราที่ได้รับการตีพิมพ์ภาพของพวกเธอบ่อยครั้งที่สุด -เรียงลำดับจากอั้ม ) นี่คือการรีไซเคิลที่ไม่ต้องรู้สึกเสียดายเวลาคนที่บ้านเอาไปชั่งกิโลขาย ต้องขอขอบคุณทาง ฟาร์มกรุ๊ป ที่เอื้อเฟื้อ canvas ขนาดมหึมาให้ผมฟรีๆ ถ้าเห็นแล้วถูกใจและผมยังบ้าทำต่อเนื่องอีกหลายภาพ จะใส่กรอบส่งไปให้ประดับออฟฟิศเลยนะครับ

Saturday, October 17, 2009

Say Goodbye to Shin Chan.



ในบทบรรณาธิการของ Boom ฉบับอาทิตย์นี้ (กลางเดือนตุลาคม 52) มีข้อความที่พิมพ์ด้วยตัวหนาเขียนไว้อาลัยให้กับ Yoshito Usui ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค๊าเป็นใคร อ่านจนจบถึงได้รู้ว่า อาจารย์ Yoshito คือคนวาด ชินจัง!
Yoshito Usui (51 ปี) ขาดการติดต่อระหว่างที่กำลังปีนเขา Arafuna เมื่อวันที่ 11 กันยายน จนเจ้าหน้าที่พบศพชายที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครลึกลงไป 120 เมตรจากจุดที่เขาขาดการติดต่อไป พอเช็คประวัติทางทันตกรรมแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแน่ใจว่า นี่คือ ศพของผู้ชายที่สร้างซีรีส์ยอดฮิต เครยอน ชินจัง เด็กอนุบาลหัวมันฝรั่ง ที่ชอบเล่นช้างน้อยและ .... จริงๆมันเป็นเด็กที่เ ี้ยมาก... นอกจากชินจังแล้ว คงไม่ลืมผลงานอีกเรื่องที่เละได้ไม่แพ้ชินจัง ยังจำศัพท์แสลงอย่าง หมาเนย ใน"ไข่กวน" กันได้หรือไม่ ...
เครยอน ชินจัง เริ่มพิมพ์สู่ท้องตลาดครั้งแรกในปี 1990 ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พิมพ์ออกมาถึงเล่มไหนแล้ว จำได้ว่าเลิกอ่านตอนที่ ชินจังมีน้องสาว อิทธิพลของการ์ตูนแก๊กเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุด ผมมีหลานสาวคนนึงที่ชื่อ เนเน่ ... ลองคิดดูละกันว่าคงมีพ่อ-แม่อีกหลายคนที่ตั้งชื่อลูกแบบนี้ เพราะตัวเองเคยอ่านหรือดูชินจังมาแล้วแน่ๆ ขอไว้อาลัยให้กับอาจารย์ Yoshito Usui อีกครั้งครับ.

Thursday, October 8, 2009

Objectified Screening in Bangkok




documentary film เรื่องล่าสุดของ Gary Hustwit ถือเป็นเรื่องที่สอง ในไตรภาคฟิลม์ที่ว่าด้วยเรื่อง อุตสาหกรรมการออกแบบ - เรื่องแรก อย่างที่รู้กันอยู่ Helvetica ฉายในกรุงเทพฯรอบเดียวเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2007 แถมด้วยกิจกรรมเสริมอย่างการ talk ระหว่าง sagmiester อนุทิน วงศ์สรรคกรและประชา สุวีรนนท์ ปีนี้ Gary กระโดดจากวงการออกแบบ 2 มิติอย่างเรื่อง typeface เพียวๆ (ถึงแม้จะตามเก็บภาพ footage สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย Helvetica ก็ตาม) กลับมารอบนี้ ภูมิใจเสนอ สารคดีว่าด้วย โลกของวงการออกแบบอุตสาหกรรม แน่นอนว่าก็เหมือนชื่อเรื่องนั่นแหละ คราวนี้ลองไปสำรวจโลกของการออกแบบผลิตภัณฑ์ แบบตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ มุขการบุกสัมภาษณ์ดีไซเนอร์ระดับเทพไม่ต่างจากตอนทำ Helvetica เพราะอย่างน้อยความเชื่อที่เขาเชือก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ตัวหนังประเภทนี้ก็มีสิทธืทั้งเอาเงินและกล่อง
Objectified น่าจะได้ความตื่นตาคนละระดับกับ Helvetica แต่ก็นั่นแหละ Gary เข้าใจดีว่า คนที่อยากดูเรื่องพวกนี้ จริงๆแล้วคนพวกนั้นเขาอยากดูอะไร มารอลุ้นกันดีกว่า ว่าเรื่องท้ายสุดในไตรภาคนี้จะว่าด้วยเรื่องอะไร ไม่อยากเดาให้เซ็งๆว่า สถาปนิก แต่ช้าก่อน ... มันอาจจะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ / หนังที่ขุดเอาบรรดาผู้กำกับตัวพ่อ-ตัวแม่มากรีดกรายไปกับบทสัมภาษณ์ (แบบเดิมๆ) ว่าด้วยเรื่อง หนังๆๆๆๆๆๆ
แต่ช่างเหอะ ไว้รอชม Objectified ที่จะฉายในเร็ววันนี้ที่กรุงเทพฯ รอบเดียวเท่านั้น (ภูมิใจเสนอโดย art4d และ graphicfarm) เอาเป็นว่า... โปรดอย่ารอคอยแต่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน ที่นั่งจำกัดมากๆ ไปซื้อตั๋วกันแต่เนิ่นๆ นะจ๊ะ

Tuesday, October 6, 2009

An Inconvenient Tooth (2).



(เรื่องยาว)
รู้สึกว่า การบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นลงใน blog มันมีประโยชน์ก็ตรงที่สามารถ trace back กลับไปได้ว่าเกิดอไรขึ้นบ้าง
"เพราะหัวกระแทกตอนเดินข้างถนนที่เชียงใหม่ทำเอาปวดฟัน ตอนแรกปวดฟันบนด้านซ้าย แต่พอมากลับมากรุงเทพฯ มันดันปวดฟันล่างด้านซ้ายแฮะ อาการชักจะแปลกๆ และมันทำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ใหม่ที่โคตรจะตื่นเต้น ที่ศูนย์ทันตกรรมของโรงพยาบาลกรุงเทพ ตึกที่อยู่ติดถนนเพชรบุรี ปากซอยศูนย์วิจัย .. ที่นี่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองหลงอยู่ในฉากหนังไซไฟจริงๆ " - ตัดมาจากข้อความใน blog ที่เขียนไว้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 (Fantastic Plastic Machine)
ตอนที่เข้าไปโรงพยาบาลกรุงเทพ สิ่งที่ผมต้องทำใหม่หมดเลยคือ เรียนรู้วิธีแปรงฟันใหม่หมด เพราะหมอฟันที่ไปหาเค็าไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่า เหงือกมันร่น สาเหตุน่าจะมาจากแปรงฟันแรงเกินไป - อันนี้เรื่องจริง- เพราะตอนมัธยมปลาย ดัดฟัน และคงเป็นโรคระแวงจัดว่าฟันที่ติดเหล็กมันจะไม่สะอาด ถ้าไม่แปรงแรงๆ นั่นแหละ สาเหตุเหงือกร่อน หมอฟันที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ต้องเรียกอาจารย์ของเค๊ามาช่วยวินิจฉัย ผมต้องถูกส่งไป X-ray อีกรอบ พร้อมกับนัดให้ไปหาหมออีกคนหนึ่ง เพื่อทำอะไรกับฟันซี่นั้น ผมก็จำได้เลือนราง
สรุปว่า ต้องทำ Night Guard เพื่อกันไม่ให้ตอนกลางคืนการนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัวมีฟันยาง (ที่ทำจากซิลิโคน) กันไว้ ต้องกลับมาทำกับหมออีกคน แม่งเริ่มงงแล้ว ก็ตอนแรก ถ้าหัวไม่เสือกกระแทกกับท่อเหล็กแล้วผมจะรู้ตัวเมื่อไหร่วะว่า นอนกัดฟัน
เอาเป็นว่า หมออีกคน (ตอนนี้ใช้หมอ 3 คน) บอกว่า ต้องอุดมันก่อน แต่ก็มีโอกาสที่จะต้องรักษารากฟัน - คำถามคือ ถ้าหัวไม่เสือกกระแทกกับท่อเหล็กแล้วผมจะรู้ตัวเมื่อไหร่วะว่า ต้องรักษรากฟัน มันไม่น่าเกี่ยวเลยนี่หว่า ตอนนี้มั่นใจแน่ๆว่า เสียเงินอีกเพียบตั้งแต่ต้นปี และจะเป็นอย่างงี้ไปอีกทั้งปี ผมเลยหันหลังให้กับโรงพยาบาลกรุงเทพ (ยกเว้นการทำ Night Guard) แล้วหันมารักษาฟันกับหมอฟันประจำบ้าน แต่แล้วเรื่องกลับห่วยเข้าไปอีก นับเป็นความโง่ของตัวเองเหมือนกัน ที่ไม่ได้สังเกตจริงจังว่า หมอฟันประจำบ้าน คนนี้ รักษาแบบ แทบไม่ดู Film X-Ray เลย ให้ตายเหอะ
สุดท้าย ผมก็ไปรักษารากฟันกับหมอคนนี้ แกอายุ 58 แล้ว อีก 2 ปีจะเกษียณ เป็นอาจารย์ประจำคณะทันตะ ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีคลินิกอยู่ไกลชิบที่ Future Park บางแค, เตาปูนและ แถวหมู่บ้านของแก (ซึ่งก็โคตรไกล) รักษารากฟันอยู่ประมาณ 2 เดือน - ไอ้ซี่ที่เห็นในภาพนี่แหละ - อย่าพึ่งตลกนะ ถ้าเดาถูกก็จะรู้ว่า ไอ้ซี่ที่ถ่ายรูปมาให้ดู มันคือซี่ที่รัักษารากฟันนี่แหละ บอกตามตรงว่า ผมขำไม่ออกเลยว่ะ

Thursday, October 1, 2009

An Inconvenient Tooth.







(เรื่องยาว)
ภาพที่เห็นข้างบน ดูแล้วรู้สึกแหยงๆเหมือนกันไหม ทั้งที่ 24 ชั่วโมงที่แล้ว ยังอมมันเล่นในปากตัวเองอยู่เลย มนุษย์เรานี่ช่างประหลาดกันเหลือเกิน ภาพที่เห็นในบทความนี้เป็นของจริงและไม่มีการรีทัชใดๆทั้งสิ้น ผมไม่ได้อยู่ว่างๆ คิดอยากจะถ่ายรูปฟันตัวเองขึ้นมาก็ถ่าย เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ถ้าจะให้่เล่าทั้งหมด...
ทั้งหมด มันเริ่มมาจาก คืนนั้น คืนที่ผมเดินริมถนนนิมมานห์ ที่เชียงใหม่ ชั่วโมงนั้นผมแสนเอือมกับสถานที่อย่าง Warm Up หรือ Fabric ก็เล่นไปกันอยู่ได้ ก่อนจะรู้เรื่องซานติก้า หัวผมก็โขกกับท่อเหล็กที่หน้าร้านข้าวมันไก่ร้านนั้น จำชื่อไม่ได้หรอกว่าร้านอะไร โครงท่อเหล็กที่ไม่หลบให้่ เลยเดินชนแม่งเลยแล้วกัน ผลลัพธ์คือ ผมได้ยินเสียงผู้หญิง 2-3 คนที่ตามหลังมากลั้นหัวเราะ - พวกเธอรีบเดินแซงผมที่กำลังทรุดนั่งกับพื้นด้วยความรู้สึกโคตรประหลาด หัวผมโขกกับท่อเหล็กแต่ผมปวดที่ฟัน ฟันซี่ที่ถัดมาจากฟันล่างซ้ายด้านในสุด
ผมได้รู้จักผู้หญิงกรุงเทพฯ ที่มาเที่ยวเชียงใหม่คืนนั้นหลายคน มีอยู่คนหนึ่งที่อยากคุยด้วยจรืงๆ ตั้งใจว่ากลับกรุงเทพฯก็ต้องคุยด้วยให้ได้ ผมจะถามเธอเรื่องฟัน ฟันซี่ล่างที่มันปวดขึ้นมาเพราะเอาหัวโขกกับท่อเหล็กเนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้ไง ผมอยากเดินเข้าไปหาหมอฟันเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่กว่าจะให้ช่วยอาการปวดฟันของผมได้ ก็ต้องรอไปอีก 2 อาทิตย์

Tuesday, September 29, 2009

What if ?







District 9 ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้อ่าน Joe the Secret Agent นักสืบหัวปลาหมึกใน Katch ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่หน้าตาเป็น กุ้งเหมือนตัวละครบางตัวใน Joe ที่ผมอยากจะบอกคือ พลังการคิดภายใต้คำถาม "What if..." ของทั้งสองเรื่องทำได้อย่างเหนือชั้น ใน District 9 ใช้คำถามที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกมาเยือน - และไม่ยอมกลับ มาทีมาเป็นล้านตัว และไม่รู้ด้วยว่าทำไมพวกมันไม่ยอมกลับ ยานแม่ลำเบ้อเริ่มจอดอยู่เฉยๆเหนือน่านฟ้าของ Johannesburg เมืองหลวงของอาฟริกาใต้ มนุษย์โลกจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง ความน่าสนใจของ District 9 ไม่ได้อยู่แค่ประเด็นเรื่อง immigrant สลัม แก๊งสเตอร์ การหลอกแดรกกระทั่งมนุษย์ต่างดาว การดูถูกสายพันธุ์และเหยีดหยามระหว่างสปีชี่
สำหรับผม ความเพลิดเพลินไปกับสถานการณ์ What if ... ในเหตุการณ์สมมตินี้ต่างหากที่ทำให้รู้ว่าตลอด 112 นาที ผู้กำกับตอบคำถาม แทบทุกคำถามที่ว่า ถ้าหากมนุษย์ต้องอยู่กับมนุษย์ต่างดาวจำนวนล้านกว่าตัวนาน 20 ปี จะเกิดสถานการณ์แบบไหนขึ้นบ้่าง ได้เกือบหมด เหตุการณ์อย่าง การผสมอาหารแมวให้เข้มข้นขึ้น ก็เพราะจริงๆแล้วอาหารที่ไว้เลี้ยงกุ้งทุกวันนี้ ก็ส่วนผสมอาหารแมวดีๆนี่เอง ป้ายประท้วงจากพวก NGO เรียกร้องสิทธิมนุษย์ต่างดาวอย่าง "We Love Alien" องค์กรเกิดใหม่อย่าง MNU (Multi-Nation United) การชนกุ้ง การตัดต่อภาพและการสร้างข่าวว่า มนุษย์เอากับกุ้ง แก็งไนจีเรียนที่บ้าเลือด / อวัยวะกุ้ง การทดลองที่ไม่ต่างจากนาซีทำกับยิวสมัยสงครามโลก ...เอาเข้าไป...
มีอย่างหนึ่งที่สงสัยมากๆคือ พวกกุ้ง (Prawn) มันพูดออกมาเป็นเสียงแบบนั้น เหตุการณ์ในหนังน่ะไม่มี sub ภาษาอังกฤษเหมือนที่คนดูเห็นบนจอแน่ๆ แล้วกุ้งมันคุยกับคนรู้เรื่องได้ยังไง ไม่ใช่ ต้องถามใหม่ ... แล้วคนมันคุยกับกุ้งรู้เรืองได้ยังไง ตั้งแต่แรกที่เข้าไป District 9 ตั้งแต่เริ่มช่วงแรกๆ แล้วพวกแก๊งไนจีเรียนคุยกับกุ้งรู้เรื่องหรือเปล่าและคุยด้วยภาษาอะไร ไม่ทันสังเกต สถานการณ์แบบนี้ อาจไม่ต่างจากเวลาเราเห็นยิวคุยกับเยอรมันด้วยภาษาของตัวเองทั้งคู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุยกันรู้เรื่องแค่ไหนและคุยกันคนละภาษา...

Thursday, September 10, 2009

Live and Let Die.



ขอแสดงความยินดีกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายทุกท่าน ที่ได้ทางเลือกใหม่ตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่อนุญาตให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถทำ "พินัยกรรมชีวิต" หรือ "หนังสือแสดงสิทธิปฎิเสธการรักษา" (Living Will) ที่แปลว่า การไม่ขอรับการรักษาที่ทำไปเพื่อยืดการตายหรือยื้อชีวิตที่ไม่อาจฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้ อย่างเช่น การขอให้หมอไม่ต้องเจาะคอใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่เอาสายยางให้อาหาร ไม่ต้องการการกระตุ้นหัวใจ ข้อความในมาตรา 12 ระบุว่า "บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้่ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฎิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจากความผิดทั้งปวงๆ" อ่านแล้วงงไหม ไม่เป็นไร เอาเป็นว่า การใช้สิทธิตามเจตนาที่ว่านี่ทำได้ 2 วิธี คือ 1. ผู้ป่วยเขียนหรือพิมพ์หนังสือแสดงเจตนาด้วยตัวเอง 2.ถ้าเจ็บหนักขนาดที่เขียนเองไม่ไหว ให้แสดงเจตนาเป็นคำพูดต่อหน้าหมอ-พยาบาลที่รักษา แล้วค่อยให้คนอื่นช่วยพิมพ์ให้แล้วค่อยเซ็นชื่อ (ถ้าไหวนะ) พร้อมพยาน
กฎหมายนี้น่าสนใจมากตรงนี้ครับ ในกรณีที่ผู้ป่วยทำพินัยกรรมปฎิเสธการยื้อชีวิต แต่ญาติไม่ยอมหรือไม่เห็นด้วย หมอต้องทำตามความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก ตรงนี้แหละ ที่ความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างลูก-หลานที่อยากทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อชีวิตคนที่รัก นานขึ้นสักชั่วโมงหรือสักวินาทีก็ยังดี แต่ความรู้สึกของคนที่ไม่อยากอยู่แล้วล่ะ กรณีนี้ จะเรียกว่า ใครเห็นแก่ตัวกว่ากัน คนที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือคนที่อยากไปให้พ้นจากภาระของคนที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป บอกตามตรงว่า รู้สีกดีที่ประเทศไทยยอมใช้กฎหมายมาตรานี้เจงๆ เราจะเป็นอิสระกันถ้วนหน้า สุดท้ายเวลาที่ต้องตาย คนเราก็ต้องตายไปคนเดียว ไม่ใช่หรือ - ว่าแล้ว subtitled ภาษาไทยในหนัง Kairo ก็ผุดขึ้นมาอีกจนได้ - ความตายคือความเงียบเหงาชั่วนิรันดร์ .... ความตายคือความโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์

Wednesday, September 2, 2009

All great artists go solo eventually. Not Pentagram.













Guitar Hero 5 แผ่นที่กำลังเล่นกันอยู่ ออกก่อนของจริงไม่รู้กี่วัน แต่เพลงที่อัดแน่นอยู่ 85 เพลง จากศิลปินอย่าง Bon Jovi ( You Give Love A Bad Name) , Coldplay (In My Place), Queen & David Bowie (Under Pressure), Nirvana (Smell Like Teen Spirit, Lithium), Blur (Song2) และอีกเพียบ ก็ฟันธงได้เลยว่า มันคงจะฮิตอีกตามเคย หลังจากเกิดขึ้นประมาณเกือบ 5 ปีที่แล้ว และกลายเป็นเกมระดับท็อปของอเมริกา พร้อมรายรับกว่า $2.9 billion และขายไปได้กว่า 25 ล้านแผ่น (คงไม่ได้นับยอดขายในไทย) Guitar Hero 5 ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการแตกไลน์โปรดักท์ออกมาอีก 2 เกม คือ Band Hero กับ DJ Hero และหน้าที่ re-design brand identity เพื่อรับกับโปรดักท์ไลน์ตัวใหม่ที่ว่า ก็ตกเป็นหน้าที่ของ Pentagram ในความดูแลของ Michael Bierut
ไม่เข้าใจ ว่าอะไรๆก็ Pentagram ตั้งแต่หนังสือ Obama จนถึง FIFA World cup ที่อเมริกาจะขอเป็นเจ้าภาพ กลับมาที่ Guitar Hero เริ่มจาก logotype ตัวเก่า อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแบบ heavy metal จริงจัง แต่เกมใหม่อีก 2 ตัว Band Hero จะเป็นวงที่เล่น pop music ส่วน DJ Hero ก็ว่าด้วยการสปินแผ่น Pentagram เลยจัดการกับ logotype ทั้งหมด โดยลดความ heavy ให้เหลือแค่ประมาณลอยสักสติ๊กเกอร์เท่านั้นพอ
ว่าแล้วก็จัดการออกแบบ custom font ชื่อ Hero Bold ออกมาซะเลย ฟอนต์ sans-serif น้ำหนัก heavy-weight ตัวนี้ก็ based on logotype ที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญคือ font ตัวนี้พอเอาไปใช้กับทั้ง 3 แบรนด์แล้ว ไปด้วยกันได้สบายๆ ทั้งที่เพลงมันคนละเรื่องกันเลย ก็พอเข้าใจแหละว่าทำไมถึงมาจ้าง Pentagram.

Wednesday, August 26, 2009

What I Talk About When I Talk About Drawing.












เจองานเก่าๆตอนล้างเครื่อง เป็นงานที่วาดตอนทำ subhuman และตอนทำเสื้อยีดขาย ประมาณช่วงปี 2001 แล้วกระโดดไปปี 2005 เลยมั๊ง ไม่แน่ใจ จริงๆตั้งใจว่าจะหา สมเสร็จที่เคยวาดไว้นั่นแหละ ไหนๆก็เจอภาพอื่นแล้วก็เก็บไว้ด้วยกันเลยแล้วกัน

It's too late to stop panda attack.












ก่อนเห็นช้างแพนด้า(ตัวจริง) จำได้ว่าเคยเห็นในการ์ตูนช่องเดียวจบในมติชนสุดสัปดาห์ก่อน ประมาณว่าคนวาดประชดมนุษย์ชาวไทยอย่างเรานี่แหละ ตอนนั้นมีช้างบาดเจ็บหนัก แต่ใครๆก็ไปเห่อแพนด้า ไปๆมาๆ ดันมีคนทำช้างแพนด้าออกมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ช้าง ถึงตอนนี้ เรามีทั้งหมาแพนด้า ควายแพนด้า หมูแพนด้า และที่เด็ดสุด ก็นี่เลย จระเข้แพนด้า ครีเอทีฟไทยแลนด์ แอนด์เวรี่ไทยดีจริงๆ ใครกำลังหาอัตลักษณ์งานออกแบบไทย กรุณาศึกษาเคสนี้ ชาติอื่นไม่มีทางคิดได้แน่นอน

Friday, August 14, 2009

Killer King





คำโปรยบนปกหน้าของหนังสือ "การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8) เขียนเอาไว้ว่า "เขาตายแต่ชื่อยัง แต่ตายอย่างไร ยังบอกไม่ได้" ส่วนในหน้าคำนำ (สำหรับการพิมพ์ครั้งที่ 2) นิธิ เขียนเอาไว้ว่า "หนังสือเล่มนี้ไม่มีผลกระทบกับอะไรแก่ใครเลย มีผู้เขียนบทความหรือหนังสือที่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องในสมัยพระจ้าตากสินอีกมากหลังจากที่หนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ออกมาแล้ว แต่ไม่มีงานของผู้ใดอ้างถึงหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเพื่อปฎิเสธหรือยืนยันข้อมูลการตีความ ของหนังสือเล่มนี้เลย อะไรที่เคยพูดกันมาในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาอย่างไร ทุกคนก็ยังพูดเหมือนเก่าทุกอย่าง ประหนึ่งว่าหนังสือเล่มนี้ไม่เคยปรากฎขึ้นในโลกนี้" อาจจะจริงอย่างที่นิธิว่า หลายครั้งที่เห็นหนังสือว่าด้วยเรื่องของพระเจ้าตากสินปกใหม่ๆบนแผง รวมทั้งนิตยสารอย่างศิลปวัฒนธรรมที่หลายเล่มว่าด้วยเรื่องกษัตริย์องค์นี้ อย่างเล่มล่าสุด "คำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์วันประหารพระเจ้าตากสิน" ไม่เคยเห็นใครพูดถึงจริงๆ ที่สงสัยมากกว่าเรื่องใครฆ่าและฆ่ายังไงคือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พ็อกเก็ตบุ๊คที่เห็นบนแผงอย่างในร้านเซเว่น (รวมทั้งร้านหนังสือใหญ่ๆมากสาขาร้านอื่นด้วย) กลับเต็มไปด้วยหนังสือเนื้อหาประมาณ "พระเจ้าตากสินไม่ได้โดนประหาร" "เรื่องของพระเจ้าตากสิน" "ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน" และแน่นอนว่ามีอีกเรื่องที่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาขยันพิมพ์กันออกมาจริงๆก็คือเรื่อง "กรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8" นั่นเอง มีใครรู้บ้างว่า ใครอยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ที่ว่ามานี้ มันน่าสงสัยกว่าคำถามยอดฮิตที่ว่า ใครฆ่าและฆ่ายังไง มากกว่าเยอะ