Wednesday, October 27, 2010

If I don't know I know, I think I don't know.






พูดโดยปราศจากการวิเคราะห์ ข้อดีของการอยู่ประเทศไทย อย่างแรกเลยคือ ประเทศนี้มันช่างสะดวกสบาย(เกินไป) โดยเฉพาะเรื่องกิน แบบ 24 ชั่วโมง อย่างที่สองที่สอดรับกันดีก็คือ ที่นี่มีเอทีเอ็มให้กดได้ทุกทั่วหัวระแหง ตลอด 24 ชั่วโมงอีก ที่ลอนดอน การจะหา cash machine สักเครื่อง เป็นเรื่องลำบากดากดำเลยทีเดียว อย่างต่อมา ก็คือ การได้อ่านการ์ตูน (manga) แบบเป็นเล่ม สัมผัสกระดาษ หมึกพิมพ์ น้ำหนักที่ถือและความสุขเล็กๆราคาถูกนี้ช่างเป็นเรื่องที่ให้ความสุขเป็นทุกครั้ง โดยเฉพาะการตะลุยอ่านการ์ตูนที่ไม่ได้ซื้อมาร่วมปี เพราะอ่านจากเน็ตยังไงก็ให้อรรถรสได้ไม่ถึง 10% นอกจากการ์ตูนแล้ว ช่วงเวลาที่กลับมาก็บังเอิญตรงกับงานสัปดาห์หนังสือที่มีสำนักพิมพ์มาร่วมกระหน่ำลดราคารับเงินสดโดยตรงจากลูกค้าอีกต่างหาก เมื่อตัดราคาค่าสายส่งไปเกือบ 30% ราคาของหนังสือแต่ละเล่มก็สวยหรูจนอยากซื้อมากกว่าที่ซื้อมาแล้วจริงๆ
เวลาประมาณ 14 วัน ผมซื้อหนังสือไปหลายเล่มมาก แต่ละเล่มที่ซื้อก็ดูเหมือนว่ามันเกี่ยวและไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่ เป็นความอยากรู้ล้วนๆ ตอนกลับมาใหม่ๆเล่มแรกที่ซื้อเลยคือ การวิจัยการตลาด ซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬา จามจุรี สแควร์ เล่มถัดมาก็ วารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับหน้าปก barcode 3 มิติ - ประวัติศาสตร์ไทยใต้ร่มพระบารมี เล่มต่อมาก็ นิทานเวตาล ของ นมส. กับ ชำแหละ แผนยึดกรุงธนบุรี ของสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรมซื้อที่ร้านนายอินทร์ เอ็มโพเรียม แล้วต่อมาก็นี่เลย การเมืองเรื่องสยามสแควร์ ซื้อที่สำนักพิมพ์ลายเส้น ที่ให้อัมรินทร์พิมพ์ให้ ซึ่งผมว่าเป็นงานพิมพ์ที่ห่วยมาก หนังสือเล่มนี้หนักและเหม็นหมึกพิมพ์มากๆ แก้ยังไงก็ไม่หาย เวลาอ่านต้องอุดจมูกไปด้วย และตอนนี้เลยเลิกอ่านไปแล้ว เล่มถัดมาก็คราวไปงานสัปดาห์หนังสือนี่แหละที่เหมามาตั้งแต่ อ่าน เล่มล่าสุด แผลใหม่, ก็ไพร่นี่คะ, ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง, ฟ้าเดียวกัน ปกข้อมูลใหม่ กรณีสวรรคต (ซึ่งตัวโปรยแบบนี้ฟ้าเดียวกันเอาเรื่องของสมศักดิ์ที่เขียนเมื่อปีที่แล้วมา bold ก่อนที่มติชน สุดสัปดาห์จะหยิบเรื่องนี้มาเล่นปีนี้) October 09 ของ openbooks, ภาษานอกตำรา และเหตุที่มาแห่งคำ (Idiomatic Expressions & Their Word Origins) เขียนโดย นพพร สุวรรณพาณิชของ Post Books ซึ่งผมเป็นแฟนประจำของนพพรมาสักระยะแล้ว ถูกใจตั้งแต่ตอนซื้อเล่ม พระเจ้า ผี ห่าและซาตาน มาอ่าน...
ลองไล่ดูแต่ละเล่มแล้ว รู้สึกว่า เรื่องที่อยากรู้และถึงขนาดไปหาซื่้อมาอ่านเพื่อเป็นการเติมความอยากรู้และตอบบางคำถามที่ผมยังไม่รู้ รวมทั้ง พูดตรงๆเลยก็คือ ผมอยากรู้จังว่า เพราะอะไร หนังสือลักษณะแบบนี้ถึงยังสามารถวางขายได้หน้าตาเฉยใน พรก ฉุกเฉิน!! เนื้่อหาข้างในที่หมิ่นเหม่และน่าจะเป็นภัยต่อใครสักคนนั้น พูดก็พูดเหอะ ทั้งงานเขียนและงาน art direction ทำได้คมคาย แอบบอกและโจ่งแจ้งพอๆกันแบบนี้ช่างเป็นสิ่งพิมพ์ที่มีค่าทางประวัติศาสตร์จริงๆ.

Friday, October 15, 2010

The King and I



ในหน้าคำนำของ นิทานเวตาล พระนิพนธ์กรมหมื่นพิทยาลงกรณ หรือ น.ม.ส. ฉบับแพรวสำนักพิมพ์ ชลธิรา สัตยาวัฒนาเขียนเอาไว้ว่า การอ่านนิทานเวตาลให้ได้รสชาติสูงสุด มิใช่อ่านเพียงให้ได้รสความเพลิดเพลินเท่านั้น ทุกคำ ทุกความ มีความหมาย ซ่อนปมไว้หลายชั้น ถ้าคนอ่านอยากเข้าใจสารที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้ง ให้ผู้อ่านเอานิทานเวตาลวางลงในบริบทสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และให้ศึกษาประวัติของ น.ม.ส. ควบคู่กันไป...
และนี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากคำพูดแต่ละคำของอมนุษย์ที่เหมือนศพมนุษย์ผสมค้างคาวมีต่อกษัตริย์ และบางส่วนจากนิทานที่เวตาลเล่าให้พระวิกรมาทิตย์ฟัง
"พระองค์ผู้เป็นราชาจงจำภาษิตโบราณไว้ว่า ลิ้นคนนั้นตัดคอคนเสียมากต่อมากแล้ว"
"พระองค์จงสงบความหยิ่งในพระหฤทัยว่าเป็นผู้มีความรู้ เมื่อเกิดมาเป็นคนโง่แล้วก็จงยอมโง่เสียเถิด"
" แล พระราชาย่อมทำลายศัตรูแม้แมื่อกำลังหนี ช้างแม้เพียงกระทบ แลงูแม้เพียงหายใจรด ก็ย่อมนำมาซึ่งความตาย คนใจบาป แม้กำลังหัวเราะก็อาจทำลายผู้อื่นได้"
"เพราะพระราชาซึ่งเป็นู้แทนพระพรหมอยู่ในโลกนี้ โดยมากมักจะทรงยินดีในการกินแลดื่ม ทั้งทรงรื่นเริงในการระบำบำเรอ บูชากามเทพตลอดชีวิต"
"ใครจะไว้ใจอะไรตามใจเถิด แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า หนึ่ง อย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา สอง สัตว์เขี้ยวเล็บงาอย่าวางใจ สาม ผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย สี่ ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้ ห้า มหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย"
แทบไม่ต้องหาความหมายระหว่างบรรทัด เพราะไม่ได้ซ่อนปมไว้แม้แต่น้อย ถึงเวลาต้องไปศึกษาประวัติของ น.ม.ส. ให้มากกว่านี้ซะแล้ว....

Monday, October 11, 2010

This is Thailand 2010



ไม่ได้แตะต้องบล็อกตัวเองเกือบ 1 ปี เวลาพอๆกับที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย สิ่งที่อยากเขียน อยากพูดถึง อยากเก็บไว้ตอนอยู่ที่ลอนดอนก็โหลดลง facebook ไปเกือบหมดแล้ว ความรู้สึกที่อยากเข้ามาบล็อกตัวเอง - ไม่มีเลยสักครั้ง...
เมืองไทยที่ต้องคอยเฝ้าดูจากข้างนอกช่างแตกต่างจากการค่อยๆดูจากข้างใน เวลาแค่ 1 ปี แต่ทำไม ถึงรู้สึกว่า มันช่างไม่เหมือนเมื่อ 1 ปีที่แล้วเอาเสียเลย ไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งท่ี่เห็น สิ่งที่สัมผัสได้เท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่เปลี่ยนไปนั้นคือ ประเทศไทยหรือตัวผมเอง.