Sunday, October 18, 2009

For those who understand the future of a radical price.






เข้าเซเว่นทีไรเป็นต้องเห็นหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้วางสลอนอยู่บนแผงตลอด บางเล่มจะมีรอยยับเยอะหน่อย ประมาณว่าผ่านมือคนอ่านที่ไม่ซื้อมาหลายมือ หนังสือพิมพ์ที่ว่าด้วยเรื่องวงการบันเทิงประเภทนี้น่าจะเป็นวิวัฒนาการมาจากหน้าหนึ่งของไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์หรือส่วนที่สองของเดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์เช่นกัน - ไม่ปฎิเสธ - ผมชอบหยิบมาดู แต่ไม่เคยเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน บ่อยๆเข้าเริ่มสงสัยแล้วล่ะ ว่าหนังสือพิมพ์ที่ว่าด้วยเรื่องวงการบันเทิงพิมพ์ 4 สีกระดาษดีๆทั้งเล่มแบบนี้ มันออกรายอะไรกันแน่? เพราะบางทีอาทิตย์เดียวเคยเห็นออกมา 3 ปก หรือว่าราย 3 วัน?
ไม่ได้สงสัยด้วยว่าทำออกมาทำไมวะ ไอ้พวกหนังสือพิมพ์ไร้สาระแบบนี้ ก็นี่มันเพื่อความบันเทิง ผมเข้าใจคนทำนะ โมเดลธุรกิจของหนังสือพิมพ์ประเภทนี้มันขายได้แน่ๆ และน่าจะขายดีและกำไรดีด้วย เพราะอย่างแรกๆเลยคือ ภาพดาราแต่ละภาพที่พิมพ์ในหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้ ล้วนแทบไม่ต้องลงทุนในการ set ถ่ายขึ้นมาใหม่! ดาราชุดวาบหวิวที่เห็นๆนั้นก็มาจากนิตยสารแฟชั่นฉบับอื่น ลงเครดิตให้เรียบร้อยเป็นอย่างดีว่าภาพจากนิตยสารเล่มไหน ถ้าไม่ใช้ภาพจากที่อื่นก็ใช้นักข่าวประจำไปถ่ายภาพดารา/เซเลบตามงานเปิดตัวสินค้า แน่นอน ยิ่งโป๊ยิ่งดี ต่อด้วยภาพที่บรรดฝ่ายโปรโมทหนังหรือละครส่งภาพมาฝาก PR หรืออีกวิธีก็เอามาจาก facebook ของดาราพวกนั้นแหละ
ที่เกิดการ participate กับคนอ่านมากขึ้นมาอีกหน่อยก็คือการบอกราคาภาพถ่ายสำหรับปาปารัซซี่มือสมัครเล่น แต่ละฉบับจะลงไปเลยว่า ถ้าคุณถ่ายภาพ topic พวกนี้มาและได้ตีพิมพ์ก็รับเงินไปเลยตามเรทราคา (เป็น section ที่ผมอ่านบ่อยสุด) ยกตัวอย่าง - ล่าดารา paparazzi ถ่ายมาดี มีรางวัล Price List Today : จุ๋ม-นุสรา พร้อมเพื่อนที่ดูไบ 15,000 B ภาพอั้มขณะตัดฟัน 3,000 B หวอพลอย-เฌอมาลย์ 150 B
ภาพที่ผมซื้อมาราคาฉบับละ 20 บาทจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง? งานคอลลาจชุดนี้คือบันทึกความบันเทิงเจริญหูเจริญตาที่ใครๆก็ชอบทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่-ชายหรือว่าหญิง (ยกเว้นดาราที่โดนถ่ายหวอมาลงบ่อยๆ) นี่คือ visual diary ที่เอาไว้เช็คเรทติ้งดาราแต่ละรายฉบับย่อ (ระยะเวลาเกือบปีที่หมกมุ่นเก็บภาพดาราจากหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนี้ สามารถบอกได้คร่าวๆว่า อั้ม พัชราภา ปู ไปรยา ชมพู่ อารยาและกิ๊บซี่ คือดาราที่ได้รับการตีพิมพ์ภาพของพวกเธอบ่อยครั้งที่สุด -เรียงลำดับจากอั้ม ) นี่คือการรีไซเคิลที่ไม่ต้องรู้สึกเสียดายเวลาคนที่บ้านเอาไปชั่งกิโลขาย ต้องขอขอบคุณทาง ฟาร์มกรุ๊ป ที่เอื้อเฟื้อ canvas ขนาดมหึมาให้ผมฟรีๆ ถ้าเห็นแล้วถูกใจและผมยังบ้าทำต่อเนื่องอีกหลายภาพ จะใส่กรอบส่งไปให้ประดับออฟฟิศเลยนะครับ

Saturday, October 17, 2009

Say Goodbye to Shin Chan.



ในบทบรรณาธิการของ Boom ฉบับอาทิตย์นี้ (กลางเดือนตุลาคม 52) มีข้อความที่พิมพ์ด้วยตัวหนาเขียนไว้อาลัยให้กับ Yoshito Usui ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค๊าเป็นใคร อ่านจนจบถึงได้รู้ว่า อาจารย์ Yoshito คือคนวาด ชินจัง!
Yoshito Usui (51 ปี) ขาดการติดต่อระหว่างที่กำลังปีนเขา Arafuna เมื่อวันที่ 11 กันยายน จนเจ้าหน้าที่พบศพชายที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครลึกลงไป 120 เมตรจากจุดที่เขาขาดการติดต่อไป พอเช็คประวัติทางทันตกรรมแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแน่ใจว่า นี่คือ ศพของผู้ชายที่สร้างซีรีส์ยอดฮิต เครยอน ชินจัง เด็กอนุบาลหัวมันฝรั่ง ที่ชอบเล่นช้างน้อยและ .... จริงๆมันเป็นเด็กที่เ ี้ยมาก... นอกจากชินจังแล้ว คงไม่ลืมผลงานอีกเรื่องที่เละได้ไม่แพ้ชินจัง ยังจำศัพท์แสลงอย่าง หมาเนย ใน"ไข่กวน" กันได้หรือไม่ ...
เครยอน ชินจัง เริ่มพิมพ์สู่ท้องตลาดครั้งแรกในปี 1990 ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พิมพ์ออกมาถึงเล่มไหนแล้ว จำได้ว่าเลิกอ่านตอนที่ ชินจังมีน้องสาว อิทธิพลของการ์ตูนแก๊กเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุด ผมมีหลานสาวคนนึงที่ชื่อ เนเน่ ... ลองคิดดูละกันว่าคงมีพ่อ-แม่อีกหลายคนที่ตั้งชื่อลูกแบบนี้ เพราะตัวเองเคยอ่านหรือดูชินจังมาแล้วแน่ๆ ขอไว้อาลัยให้กับอาจารย์ Yoshito Usui อีกครั้งครับ.

Thursday, October 8, 2009

Objectified Screening in Bangkok




documentary film เรื่องล่าสุดของ Gary Hustwit ถือเป็นเรื่องที่สอง ในไตรภาคฟิลม์ที่ว่าด้วยเรื่อง อุตสาหกรรมการออกแบบ - เรื่องแรก อย่างที่รู้กันอยู่ Helvetica ฉายในกรุงเทพฯรอบเดียวเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2007 แถมด้วยกิจกรรมเสริมอย่างการ talk ระหว่าง sagmiester อนุทิน วงศ์สรรคกรและประชา สุวีรนนท์ ปีนี้ Gary กระโดดจากวงการออกแบบ 2 มิติอย่างเรื่อง typeface เพียวๆ (ถึงแม้จะตามเก็บภาพ footage สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย Helvetica ก็ตาม) กลับมารอบนี้ ภูมิใจเสนอ สารคดีว่าด้วย โลกของวงการออกแบบอุตสาหกรรม แน่นอนว่าก็เหมือนชื่อเรื่องนั่นแหละ คราวนี้ลองไปสำรวจโลกของการออกแบบผลิตภัณฑ์ แบบตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ มุขการบุกสัมภาษณ์ดีไซเนอร์ระดับเทพไม่ต่างจากตอนทำ Helvetica เพราะอย่างน้อยความเชื่อที่เขาเชือก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ตัวหนังประเภทนี้ก็มีสิทธืทั้งเอาเงินและกล่อง
Objectified น่าจะได้ความตื่นตาคนละระดับกับ Helvetica แต่ก็นั่นแหละ Gary เข้าใจดีว่า คนที่อยากดูเรื่องพวกนี้ จริงๆแล้วคนพวกนั้นเขาอยากดูอะไร มารอลุ้นกันดีกว่า ว่าเรื่องท้ายสุดในไตรภาคนี้จะว่าด้วยเรื่องอะไร ไม่อยากเดาให้เซ็งๆว่า สถาปนิก แต่ช้าก่อน ... มันอาจจะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ / หนังที่ขุดเอาบรรดาผู้กำกับตัวพ่อ-ตัวแม่มากรีดกรายไปกับบทสัมภาษณ์ (แบบเดิมๆ) ว่าด้วยเรื่อง หนังๆๆๆๆๆๆ
แต่ช่างเหอะ ไว้รอชม Objectified ที่จะฉายในเร็ววันนี้ที่กรุงเทพฯ รอบเดียวเท่านั้น (ภูมิใจเสนอโดย art4d และ graphicfarm) เอาเป็นว่า... โปรดอย่ารอคอยแต่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน ที่นั่งจำกัดมากๆ ไปซื้อตั๋วกันแต่เนิ่นๆ นะจ๊ะ

Tuesday, October 6, 2009

An Inconvenient Tooth (2).



(เรื่องยาว)
รู้สึกว่า การบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นลงใน blog มันมีประโยชน์ก็ตรงที่สามารถ trace back กลับไปได้ว่าเกิดอไรขึ้นบ้าง
"เพราะหัวกระแทกตอนเดินข้างถนนที่เชียงใหม่ทำเอาปวดฟัน ตอนแรกปวดฟันบนด้านซ้าย แต่พอมากลับมากรุงเทพฯ มันดันปวดฟันล่างด้านซ้ายแฮะ อาการชักจะแปลกๆ และมันทำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ใหม่ที่โคตรจะตื่นเต้น ที่ศูนย์ทันตกรรมของโรงพยาบาลกรุงเทพ ตึกที่อยู่ติดถนนเพชรบุรี ปากซอยศูนย์วิจัย .. ที่นี่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองหลงอยู่ในฉากหนังไซไฟจริงๆ " - ตัดมาจากข้อความใน blog ที่เขียนไว้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 (Fantastic Plastic Machine)
ตอนที่เข้าไปโรงพยาบาลกรุงเทพ สิ่งที่ผมต้องทำใหม่หมดเลยคือ เรียนรู้วิธีแปรงฟันใหม่หมด เพราะหมอฟันที่ไปหาเค็าไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่า เหงือกมันร่น สาเหตุน่าจะมาจากแปรงฟันแรงเกินไป - อันนี้เรื่องจริง- เพราะตอนมัธยมปลาย ดัดฟัน และคงเป็นโรคระแวงจัดว่าฟันที่ติดเหล็กมันจะไม่สะอาด ถ้าไม่แปรงแรงๆ นั่นแหละ สาเหตุเหงือกร่อน หมอฟันที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ต้องเรียกอาจารย์ของเค๊ามาช่วยวินิจฉัย ผมต้องถูกส่งไป X-ray อีกรอบ พร้อมกับนัดให้ไปหาหมออีกคนหนึ่ง เพื่อทำอะไรกับฟันซี่นั้น ผมก็จำได้เลือนราง
สรุปว่า ต้องทำ Night Guard เพื่อกันไม่ให้ตอนกลางคืนการนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัวมีฟันยาง (ที่ทำจากซิลิโคน) กันไว้ ต้องกลับมาทำกับหมออีกคน แม่งเริ่มงงแล้ว ก็ตอนแรก ถ้าหัวไม่เสือกกระแทกกับท่อเหล็กแล้วผมจะรู้ตัวเมื่อไหร่วะว่า นอนกัดฟัน
เอาเป็นว่า หมออีกคน (ตอนนี้ใช้หมอ 3 คน) บอกว่า ต้องอุดมันก่อน แต่ก็มีโอกาสที่จะต้องรักษารากฟัน - คำถามคือ ถ้าหัวไม่เสือกกระแทกกับท่อเหล็กแล้วผมจะรู้ตัวเมื่อไหร่วะว่า ต้องรักษรากฟัน มันไม่น่าเกี่ยวเลยนี่หว่า ตอนนี้มั่นใจแน่ๆว่า เสียเงินอีกเพียบตั้งแต่ต้นปี และจะเป็นอย่างงี้ไปอีกทั้งปี ผมเลยหันหลังให้กับโรงพยาบาลกรุงเทพ (ยกเว้นการทำ Night Guard) แล้วหันมารักษาฟันกับหมอฟันประจำบ้าน แต่แล้วเรื่องกลับห่วยเข้าไปอีก นับเป็นความโง่ของตัวเองเหมือนกัน ที่ไม่ได้สังเกตจริงจังว่า หมอฟันประจำบ้าน คนนี้ รักษาแบบ แทบไม่ดู Film X-Ray เลย ให้ตายเหอะ
สุดท้าย ผมก็ไปรักษารากฟันกับหมอคนนี้ แกอายุ 58 แล้ว อีก 2 ปีจะเกษียณ เป็นอาจารย์ประจำคณะทันตะ ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีคลินิกอยู่ไกลชิบที่ Future Park บางแค, เตาปูนและ แถวหมู่บ้านของแก (ซึ่งก็โคตรไกล) รักษารากฟันอยู่ประมาณ 2 เดือน - ไอ้ซี่ที่เห็นในภาพนี่แหละ - อย่าพึ่งตลกนะ ถ้าเดาถูกก็จะรู้ว่า ไอ้ซี่ที่ถ่ายรูปมาให้ดู มันคือซี่ที่รัักษารากฟันนี่แหละ บอกตามตรงว่า ผมขำไม่ออกเลยว่ะ

Thursday, October 1, 2009

An Inconvenient Tooth.







(เรื่องยาว)
ภาพที่เห็นข้างบน ดูแล้วรู้สึกแหยงๆเหมือนกันไหม ทั้งที่ 24 ชั่วโมงที่แล้ว ยังอมมันเล่นในปากตัวเองอยู่เลย มนุษย์เรานี่ช่างประหลาดกันเหลือเกิน ภาพที่เห็นในบทความนี้เป็นของจริงและไม่มีการรีทัชใดๆทั้งสิ้น ผมไม่ได้อยู่ว่างๆ คิดอยากจะถ่ายรูปฟันตัวเองขึ้นมาก็ถ่าย เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ถ้าจะให้่เล่าทั้งหมด...
ทั้งหมด มันเริ่มมาจาก คืนนั้น คืนที่ผมเดินริมถนนนิมมานห์ ที่เชียงใหม่ ชั่วโมงนั้นผมแสนเอือมกับสถานที่อย่าง Warm Up หรือ Fabric ก็เล่นไปกันอยู่ได้ ก่อนจะรู้เรื่องซานติก้า หัวผมก็โขกกับท่อเหล็กที่หน้าร้านข้าวมันไก่ร้านนั้น จำชื่อไม่ได้หรอกว่าร้านอะไร โครงท่อเหล็กที่ไม่หลบให้่ เลยเดินชนแม่งเลยแล้วกัน ผลลัพธ์คือ ผมได้ยินเสียงผู้หญิง 2-3 คนที่ตามหลังมากลั้นหัวเราะ - พวกเธอรีบเดินแซงผมที่กำลังทรุดนั่งกับพื้นด้วยความรู้สึกโคตรประหลาด หัวผมโขกกับท่อเหล็กแต่ผมปวดที่ฟัน ฟันซี่ที่ถัดมาจากฟันล่างซ้ายด้านในสุด
ผมได้รู้จักผู้หญิงกรุงเทพฯ ที่มาเที่ยวเชียงใหม่คืนนั้นหลายคน มีอยู่คนหนึ่งที่อยากคุยด้วยจรืงๆ ตั้งใจว่ากลับกรุงเทพฯก็ต้องคุยด้วยให้ได้ ผมจะถามเธอเรื่องฟัน ฟันซี่ล่างที่มันปวดขึ้นมาเพราะเอาหัวโขกกับท่อเหล็กเนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้ไง ผมอยากเดินเข้าไปหาหมอฟันเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่กว่าจะให้ช่วยอาการปวดฟันของผมได้ ก็ต้องรอไปอีก 2 อาทิตย์