Wednesday, December 24, 2008

what the hell




เอามาจากบทสุดท้ายของหนังสือ พระเจ้าและผีห่าซาตาน ความรู้เรื่องผี ที่ไม่น่ากลัวแต่น่าศึกษา เขียนโดย นพพร สุวรรณพานิช พิมพ์โดย openbooks บทสุดท้ายว่าด้วยเรื่อง นรกในอินเดียและความเชื่อในประเทศต่างๆ น่าสนใจดีเลยคัดแบบแปลงเนื้อหาให้อ่านกระชับขึ้นกว่าของต้นฉบับ คำว่า นรก ในความหมายของ hell แปลว่า ที่หลบซ่อน hell ต้องอยู่ใต้พิภพ ปกติใช้ไฟในการลงโทษ นีรย คือสถานที่อันปราศจากความดี
นรกร้อนมี 8 ขุม เมื่อลมพัดผ่าน เหล่าสัตว์นรกที่ตายแล้วก็ฟื้นขี้นมารับกรรม ต้องลงฑัณฑ์ทั้งหมดนาน 500 ปีนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ ขุมนี้เรียกว่า สัญชีพ แปลว่า ไม่ตาย แต่ถ้า 1,000 ปีนรก = 26 ล้านปีมนุษย์ และถ้า 2,000 ปีนรก เท่ากับ 145 ล้านปีมนุษย์
สัตว์นรกบางประเภทต้องครำ่ครวญจนสิ้น 4,000 ปีนรกหรือ 567 ล้านปีมนุษย์ เรียกว่า โรอุระ แปลว่า ครำ่ครวญ ส่วนสัตว์นรกที่ต้องอยู่ 8,000 ปีนรก = 2,305 ล้านปีมนุษย์ เรียกว่า มหาโรอุระ สัตว์นรกที่ต้องอยู่ 16,000 ปีนรก เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ เรียกว่า ตาปนะ แปลว่า ความร้อน ส่วนสัตว์นรกที่ถูกทรมานอยู่ 1 กัลป์เรียก มหาตาปนะ แปลว่า ร้อนอันมหาศาล
ส่วนอเวจีนั้นร้อนที่สุด แปลว่า ไม่หยุดพัก
นรกแต่ละขุมกว้าง ยาว ด้านละ 1,000 โยชน์ หนาอีก 9 โยชน์ ลึกลงไปจากโลกมนุษย์อีก 1,000 โยชน์ แล้วยังมีนรกเย็นอีก 10 ขุมแบ่งเป็นชั้นๆเหมือนนรกร้อน
ส่วน โลกันคนรก อยู่ระหว่างช่องระหว่างจักรวาลสามแห่ง มีช่องว่าง 8,000 โยชน์ ด้านบนเปิดเป็นปล่อง ด้านล่างหนาวเย็นไม่มีแสงสว่าง สำหรับคนที่ตอนเป็นมนุษย์ ฆ่าพ่อ แม่ ฆ่าสมณพราหมณ์ และทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด
ชาวกรีกเรียก นรกว่า hades แปลว่า ดินแดนที่มองไม่เห็น

หนังสือเล่มนี้สนุกมาก ไม่ได้มีแค่เรื่องนรก แต่รวบรวมเรื่องราวของผี ห่า ซาตาน พระเจ้า ไสยศาสตร์ ความเชื่อต่างๆที่น่าสนใจ ที่เลือกเรื่องนรกนั้นเพราะผมสนใจ ระบบคณิตศาสตร์ การคำนวณและตรรกะระหว่างปีของนรกกับปีของมนุษย์ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดคำนวณ รวมทั้ง สถานที่อย่าง อเวจี ที่เปรียบเทียบให้การฆ่าพ่อแม่มีโทษทัณฑ์เท่ากับการทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด ตรรกะนี้ก็แปลกมาก เพราะจำได้ว่า พระพุทธเจ้าเคยพูดเอาไว้ว่า พ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่และเป็นยิ่งกว่าพระพุทธองค์สำหรับลูก มัน ironic หรือผมจำผิดไปเอง เป็นคำของท่านพุทธทาสหรือเปล่า ... ใครรู้ช่วยบอกทีครับ

Tuesday, December 16, 2008

no country for old woman






ภาพชุดนี้เป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกที่สุดของการมาทริปที่ shanghai จำได้ว่าขอแยกกับแพนและพัสเพราะขี้เกียจเข้าไปเดินช็อป
ที่ที่ไปเป็นห้างขายของถูกประมาณแพลตตินัมผสมกับโบนันซ่า ชั้นล่างเป็นของแบรนด์เนมปลอม ชั้นนึงเป็นของผู้หญิง อีกชั้นเป็นของผู้ชาย และอีกชั้นเป็นของ unisex ผมแยกออกมาถ่ายรูปรอบๆ ย้อนกลับไปทางที่มา เป็นตลาดขายอาหารทะเลสดๆ ถัดไปอีกหน่อยเป็น street food หน้าตาคล้ายๆกับขนมผัดกาดอยู่ในหม้อขนาดเดียวกับหม้อต้มขาหมูบ้านเรา
เดินเลยไปเรื่อยๆ จากซอยนั้น จะเจอประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวนหย่อมริมทางเท้า ผมคิดในใจว่ามันเหมือนเห็ดเข็มทองสีปรอท นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่ผมเห็นภาพของป้า ..
แกอายุน่าจะประมาณ 50 ปลายๆ กำลังก้มๆเงยๆอยู่หลังเห็ดเข็มทองปรอทที่ว่า สวมเสื้อเหลืองเดียวกับอูม่า เทอร์แมนใน kill bill กางเกงสีเขียวข้างๆเป็นลุงแก่ๆที่มาด้วย แกยืนถืออะไรบางอย่างคล้ายเชือก ... ใช่แล้ว เชือก ... ไม่ได้ถือ แต่จูงต่างหาก ลุงคนนั้นจูงหญิงแก่คนนั้นมาขี้กลางสวนหย่อมริมทางเท้า เชือกเส้นนั้นน่าจะพันรอบเอวของแก .. นอกจากผม มีคนยืนดูอยู่ 2-3 คน ด้วยความไม่แน่ใจว่า สองคนนั้นกำลังทำอะไรกลางสวนหย่อม ด้วยความอยากรู้-เห็นของเรา
ให้พูดตรงๆคือ ไม่ต่างจากพาหมามาขี้ ผิดแต่เพียง หมาตัวนี้ไม่ใช่หมา แต่เป็นคน เป็นคนเพศเดียวกับแม่ผม .. ทำไมต้องใช้สายจูง ผมคิดต่อมาอีกหลายชั่วโมง เรื่องของแก ภาพสุดท้่ายที่ผมจำแม่นเลยคือ ภาพที่ป้าใช้กระดาษ เป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ เช็ดตูดอยู่นาน ...
ภาพที่เห็น ไม่ตลกแม้แต่น้อย เกิดอะไรขึ้นกับคนด้วยกัน ทำไม คนถึงทำกับคนเยี่ยงนี้
พยายามคิดต่อเอาเองแบบ optimistic ว่า ลุง- ป้าคู่นี้ คงเป็นคู่รักกันมานาน อาจจะเสียลูกไป ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ป้าเกิดเสียสติจนบ้าขนาดที่ต้องคุมตัวไว้ตลอด ไม่งั้นจะหนีหรืออาละวาดทำอันตรายคนอืนตามฟุตบาธ ... แต่ ... ภาพที่เห็นมากับตา จนแล้วจนรอดก็ทำให้ผมย้อนกลับไปที่เดิม .. ป้าคนนี้เป็นคน เป็นคนเพศเดียวกับแม่ผม อะไรใน shanghai ทำให้สองคนนี้ต้องเป็นแบบนี้ .. เอวัง

Wednesday, November 26, 2008

we love everyday in shanghai - episode 1 -











พอลงเครื่องที่ shanghai เย็นวันศุกร์ เรามุ่งหน้าเข้าเมืองและ check in ที่ motel 168 สถานี Metro ชี่ฝู เสร็จแล้วก็มุ่งตรงเข้าย่านที่เที่ยวกลางคืนของ shanghai จำชื่อไม่ได้ แต่พวกเรามุ่งไปหาร้านกาแฟ อากาศหนาวกว่าที่คิดไว้ พอเห็นหน้าตาตอนกลางคืนของ shanghai กันพอเป็นพิธีเราต้องรีบกลับไปนอน เพราะตอนเช้าต้องรีบไปขึ้นรถไฟรอบแปดโมงเช้าไป หางโจว เมืองตากอากาศที่ห่างจาก shanghai ไป 2 ชั่วโมง ลมที่นี่เย็นจัดและทำเอาหนาวจับใจ แพนจองโรงแรมที่หางโจวไว้เรียบร้อย เราแค่ตามหัวหน้าคณะทัวร์อย่างเดียว ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เที่ยวแล้วไม่อิน แต่ไม่เป็นไรหรอก เราพูดจีนไม่ได้สักคำนอกจาก หนี่ห่าว เท่านั้น หางโจวสวยขนาดไหนลองดูจากรูปเอาละกัน

Tuesday, November 25, 2008

we love everyday in shanghai - intro -







ประมาทอุณหภูมิและใจคนที่นี่เกินไป
สำหรับผมแล้ว shanghai และ mainland เลยมี 2 episode
หนาวและเยือกเย็น กับหนาวและอุ่นๆ
เป็นเมืองที่มีเสน่ห์กว่าที่คิดเอาไว้ก่อนไปถึงจริงๆ ไม่เสียใจเลยที่เลือกไปเดือนนี้
อากาศหนาวแต่อุ่นขนาดไหน ไว้จะเล่าให้ฟัง

Wednesday, November 5, 2008

created by the rest of the world ...



COLORS Notebook is a “special” issue of COLORS; it contains 50 blank pages so whoever receives it can express themselves as they like in any way they want. Since 2006, thousands of COLORS Notebooks have been distributed around the world, to give voice to those categories of humanity no one wants to listen to: Chinese prison inmates, people with mental disorders, South African children, artists, astronauts or just ordinary people. Thousands of people, all different yet all alike, who filled and continue to fill their Notebooks with messages of creativity, imagination, desperation, anxiety, oppression.

Each COLORS Notebook sent back to COLORS is totally unique. A COLORS issue with no filters, editing or censure. An issue in which anyone is free to tell their story and send a message to the world through their words, drawings or photos. An issue for sharing notes and reflections. A different way of really giving voice to “the rest of the world”.
The original Colors Notebooks were shown at the “Fabrica: Les Yeux Ouverts” exhibition realized in collaboration with the Pompidou Centre in Paris. In addition to Paris (2006), the exhibition has been hosted by the Milan Triennale, by the Shanghai Art Museum (both 2007) and by the Shiodomeitalia Creative Center, Tokyo (2008).
A number of COLORS Notebook were chosen for a two-volume book – Faces and Violence –
published by Birkhäuser in Spring 2008.

Colors Notebook = Faces contains a collection of portraits and self-portraits selected from the work of thousands of people who filled the pages of their Notebook with their ideas and feelings about “faces”. Then, from the four corners of the earth, they sent their Notebook back to Colors. The sentiments expressed in some are highly personal; in others, savagely political.

่สำหรับคนที่อยากร่วมโปรเจ็คต์ Colors Notebook ของ Colors magazine และ Fabrica ก็ไม่ยาก แค่ส่ง email ไปที่ notebook@fabrica.it บอกชื่อ-ที่อยู่ที่ให้จัดส่ง Colors Notebook เล่มเปล่าๆมาให้ อีกประมาณไม่เกิน 2 อาทิตย์ก็จะได้รับสมุดปกขาวที่มีหัวแบบเดียวกับ Colors magazine แต่แค่โลโก้เป็นเส้น stroke สีดำ ความหนา 50 หน้า (รวมปก) คือสเปซของคุณ อยากทำอะไรกับมัน ได้ทั้งนั้น เต็มที่สบายๆ ทั้งเนื้อหา-บทความ-ข้อเขียน-ภาพประกอบ-ภาพถ่าย พอทำครบหมดแล้้ว ก็ส่งกลับไปตามที่อยู่ที่พิมพ์ไว้ในเล่มนั่นแหละ ค่าส่งไปอิตาลีอาจจะแพงหน่อย แต่งานของ Notebook ของคุณก็จะโผล่ไปแสดงตามที่ต่างๆ และถ้าโชคดี ก็อาจได้เป็นหนึ่งใน contributor ของ Colors Notebook เล่มต่อไปถัดจากสองเล่มแรกที่เพิ่งออกมาเมื่อกลางปี (2008)






หน้าในของ Colors Notebook เล่ม Face ที่เห็นคือ Notebook ที่ใช้เวลาทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วต้องรีบส่งกลับไปอิตาลี เพราะคอนนั้นมี deadline ที่แน่นอน (รู้สึกว่าตอนนี้ อาจจะไม่มี deadline เหมือนตอนนั้น) ที่ได้เลือกไปลงเล่ม FACE ก็น่าจะเป็นเพราะ ภาพหน้าคนแบบที่เห็นนี่แหละ ความรู้สึกมันต่อเนื่องมาจากตอนทำ หนังสือโลกร้อนของ โลกสีเขียว และเรื่องที่อยากจะบอกในเล่มก็คือ everybody hurts but you are not alone เท่านั้นเอง ทั้ง 50 หน้าไม่ได้มีแต่หน้าคนพวกนี้ เพราะเอาเข้าจริง -วาดไม่ทัน- เพราะตอนแรกกะว่าจะวาดให้หมดทุกหน้าเหมือนกัน เนื้อหาส่วนอื่นก็มี หน้าที่แปะซองบุหรี่ LM เขียวที่ตอนนั้นเพิ่งทำส่วนที่เป็นคำเตือนว่าสูบบุหรี่แล้วไม่ดียังไงกับการสรรหาภาพประกอบที่ดูแล้วทุเรศสุดๆ เกือบทุกแบบลงไปด้วย .. เสียดายมากก็ตรงที่มันรีบจัดจริงๆ จนไม่ได้ถ่ายรูปตอนที่ทำเสร็จแล้ว คนที่จะส่งไปก็ขอแนะนำให้ถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนจะส่ง Notebook กลับไปด้วย เพราะทาง Fabrica ไม่มีนโยบายส่งผลงานคืน.. สนุกกันให้เต็มคราบเลยนะครับ ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งนั้น อยากพูดอะไรพูดได้เต็มที่ อยากวาดอะไร ถ่ายภาพออกมาเป็นไง แล้วแต่สะดวกใจกันเลย ...



Tuesday, November 4, 2008

he is a common people





หลายครั้งที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์นักออกแบบระดับซุปเปอร์สตาร์ แต่ละคนที่คุยด้วยล้วนมีลักษณะบางประการที่ไม่รู้จะหาคำอธิบายยังไง แต่เป็นลักษณะคล้ายๆกับพวกเขาเหล่านั้นไม่ใคร่จะเหมือนคนปกติสักเท่าไหร่ ลองมาคิดดูก็ตั้งแต่ Shubanka Ray, Stefan Sagmiester, Massimo Vignelli, KasselsKarmer, Hill Morgan, Tezuka Family, Ross Lovegrove, Vivian Tam, Mark Farrow ... จะบอกว่าอะไรดีพวกเขาเหล่านั้นเหมือนมีคาแร็กเตอร์ที่ถูกออกแบบเอาไว้่แล้วว่า ภาพของตัวเองจะออกมาสำหรับสื่อยังไง
พอเจอ Vince Frost เมื่อศุกร์ที่ 24 ตุลา ตอน workshop ที่จัดขึ้นบริติช เคานซิล ภาพที่เดาๆเอาไว้ว่าคงไม่ต่างจากดีไซเนอร์ตัวกลั่นทั้งหลาย แต่เอาเข้าจริง Vince ก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ สิ่งที่คุยกันหลายเรื่องน่าสนใจและน่าเสียดายที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ทุกเม็ด Vince เป็นดีไซเนอร์ที่ถ่อมตัว และที่รู้สึกโอเคมากๆ ก็ตอนที่ Vince มานั่งปรึกษาว่า งานวันเสาร์เค๊าควรพูดถึงอะไรบ้าง ผมแนะนำเค๊าว่าถ้าแค่พูดบรรยายงาน คนที่มาฟังก็คงจะแค่รู้สีกว่า งานคุณดียังไง สวย ไม่เถียง ผมอยากให้ Vince พูดถึงเรื่อง business ที่เค๊าทำ สิ่งที่เค๊าเช่ื่อ และสิ่งที่เค๊าพยายามจะบอกหลายครั้งแล้วว่า โรงเรียนออกแบบไม่เคยสอนเร่ือง business อย่างจริงๆจังๆ เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มันคือส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตจริง
พอวันเสาร์ ถึงคิวที่ Vince ต้องพูด เค๊าใช้วิธีเปิดจาก library ใน iPhoto บรรยายงานสลับไปมากับการสอดแทรกมุข ที่สำคัญ Vince พยายามใส่มุมมองการคิดแบบ business ลงไปบ่อยครั้ง ไม่น่าเชื่อว่า Vince ฟังที่ผมบอกเค๊าจริงๆ
Vince Frost คือผู้ชายธรรมดาๆ ที่เป็นนักออกแบบที่ตลกที่สุดคนหนึ่งที่เคยเจอ

Wednesday, October 22, 2008

Perfect Eleven Phenomenon







ไม่น่าเชื่อว่าการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.หนนี้จะเกิดปรากฎการณ์
ผู้สมัครทั้งหมดจำนวน 16 คน มีอยู่ 4 คนที่ถูกเรียกขานว่า 4 ตัวเต็ง ทั้ง 4 คนไม่มีใครน่าสนใจพอที่จะสละเวลาระลึกถึงแม้แต่น้อย และยิ่งเปรียบเทียบไม่ได้กับผู้สมัครที่เหลืออีก 11 คน ผมไม่นับรวมลีน่าจัง ผู้สมัครเบอร์ 7 ที่เลือกที่จะไม่ปรากฎตัวออกมาพร้อมกับ 11 คนนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโปรดิวเซอร์รายการจับเข่าคุยของสรยุทธ์เทป 11 ผู้สมัครผู้ว่าสัปดาห์นั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ต้องยกเครดิตให้ไปเต็มๆ เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างปรากฎการณ์นี้

และนี่คือสุดยอดผู้สมัครผู้ว่า กทม ประจำปี 2551 ที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วว่าคือ ตัวจริง

ไล่จากรูปแรก คือ ผู้สมัครหมายเลข 1 นายกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฏ์ อายุ 59 ปี ปริญญาโท รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกริก
นโยบายคือ "ผู้ว่าอัศวิน- ให้รถเลี้ยวเป็นทางเอก" นโยบายไม่มีอะไรซับซ้อน "รถมาจากที่จอดรถและไปสู่ที่จอดรถ ถนนเป็นแค่ทางผ่าน" ปัญหาจราจรสามารถแก้ง่ายๆด้วยกฏจราจร ให้รถที่เปิดไฟเลี้ยวไปก่อน ไม่ต้องหยุดรอ ใครที่เห็นรถส่งสัญญาณไฟเลี้ยวต้องให้รถคันนั้นไปก่อน

ต่อมาคือ ผู้สมัครหมายเลข 4 นายวราวุธ ฐานังกรณ์ อายุ 50 ปี ปริญญาตรี เภสัช จุฬา
นโยบายคือ กรุงเทพฯเมืองมหัศจรรย์ ถือว่าโดดเด่นและมีกลยุทธ์ที่สุดใน 11 คน นโยบายกรุงเทพฯปลอดการปฏิวัติ โดยจะทำการซ้อมป้องกันทหารปฎิวัตืเป็นประจำทุกปี มีนโยบายป้องกันรถถังที่จะเคลื่อนตัวเวลาทหารจะทำการยึดอำนาจ ที่บอกว่าผู้สมัครรายนี้มีกลยุทธ์คือ เขาไม่หว้งว่าจะได้รับเลือกอยู่แล้ว แต่ขอแค่บ้านละ 1 คะแนนเพื่อเป็นการยืนยันว่า คนกรุงเทพฯไม่เอาทหาร ปัจจุบันโดนข้อหาหมิ่นไปแล้ว

ถัดมาคือ ผู้สมัครหมายเลข 9 นายวิทยา จังกอบพัฒนา อายุ 60 ปี ปริญญาตรี นิติศาสตร์ รามคำแหง
นโยบายคือ จะแก้ปัญหารถติดใน 7 วัน ด้วยวิธียกเลิกกับดักบนท้องถนน นายวิทยาพูดไว้เลยว่า ต้องงดใช้สัญญาณไฟจราจรทุกแห่งในกรุงเทพฯ รถที่จะเลี้ยวขวาให้ไปเลี้ยวซ้ายแล้วกลับรถเอา จะทำที่กลับรถดีๆไว้่ในท้องถนนทุกแห่ง เอาให้เหมือนหน้าห้างตั้งฮั่วเส็งและถนนริมคูเมืองที่เชียงใหม่ บุคลิกของนายวิทยาถือว่าโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การใช้ภาษาในการหาเสียง เขาเคยเป็นพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย และลงสมัครครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว

ต่อด้วยผู้สมัครหญิงคนนี้เลย หนึ่งในผู้สมัครหญิงทั้ง 3 คน
หมายเลข 12 นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ อายุ 63 ปี จบปริญญาโทจาก บอสตัน
นโยบายที่ใส่เอาไว้่ใน web ของช่อง 9 คือ ตรวจสอบผู้ลอบทุจริต คนโกง คนผิด คนติดสินบน แต่ถ้าเอาจากตอนที่เธอไปออกในรายการจับเข่าตุยก็คือ นโยบายที่เธอพูดก่อนเลยคือ ขอคัดค้านกฎหมายที่ให้ผู้สมัครสามารถใช้ทุนหาเสียงได้ถึง 39 ล้าน ถ้าใครก็ตามที่ใช้เงินมากขนาดนี้ในการหาเสียงย่อมต้องมีการถอนทุนคืน นโยบายของเธอคือ จะไม่ให้มีป้ายหาเสียงจำนวนมาก เพราะถ้าผู้หย่อนบัตรเลือกตั้งจากป้ายข้างถนน อย่างที่เราเห็นในการเลือกตั้งรอบนี้ เธอรู้สึกบีบคั้นมากที่สรยุทธ์และสื่ออื่นๆไปให้ความสนใจกะ 4 ตัวเต็งเท่านั้น สรุปแล้วเธอคนนี้จะเลือกใช้นโยบายของ 4 ตัวเต็งที่เป็นประโยชน์เอามาใช้ซะเลย ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ เธอคนนี้ใส่เครื่องราชย์จากสวรรค์ ที่เธอว่าเธอได้มาเองไม่ต้องซื้อ เหมือนโกหกแต่เป็นเรื่องจริง .. จริงๆแล้วเคยเห็นผู้สมัครคนนี้ที่สปอร์ตคลับ เธอชอบตีแบดและเทนนิสโดยใส่ชุดที่ตัดจากผ้าไหมไทย

Friday, September 19, 2008

Come Back to Haunt Me








พล็อตที่แสนธรรมดาสามัญบวกกับวิธีถ่ายแบบเสมือนว่าธรรมดาสามัญ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ [REC]
ที่ทำให้หนังซอมบี้ความยาวแค่ 74 นาทีจากสเปนเรื่องนี้พิเศษกว่าหนังซอมบี้ทุกเรื่องที่เคยดูมาน่าจะเป็นความรู้สึกว่า ที่นอนดูอยู่เหมือนไม่ได้นอนดูอยู่หน้าจอ แต่ถูกลากเข้าไปในจอ ร่วมประสบการณ์ไปกับฉากและตัวละครในเรื่องชนิดไม่มีเวลาพักหายใจ ...

Jaume Balagueró และ Paco Plaza คือเครดิตผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เขียนบทโดย Jaume Balagueró และ Luis Berdejo หนังว่าด้วยพล็อตดาดๆอย่าง ทีมงานรายการ TV ที่ชื่อ While you sleep มีพิธีกรภาคสนามและตากล้องตามไปถ่ายทำชีวิตจริงของนักดับเพลิงที่สถานีดับเพลิง พอไปซักพักก็มีภาระกิจที่ต้องออกไปช่วยคนที่ติดอยู่ในอพาร์ทเมนต์หลังนึง แล้วทีมงานรายการ TV ทั้งคู่ก็ตามติดไปออกสนามด้วย แน่นอนว่าดาดแน่ เพราะไอ้อพาร์ทเมนต์ที่ไปถึงมีซอมบี้อยู่ แค่นี้เอง จบแล้ว ..

เรื่องอืดๆช่วง 10 นาทีแรกเหมือนให้โอกาสเตรียมใจรับสภาพ ก่อนจะกระหนำ่ด้วยความน่ากลัวของฉากและโลกเสมือนจริง ด้วยวิธีถ่ายแบบ handy cam ตลอดเรื่อง ภาพ footage ของตากล้้องและดำเนินเรื่องด้วยพิธีกรสาวสวย sex appeal จัดๆ (Manuela Velasco) ไม่ต้องไปเปรียบกับ Blair Witch Project เพราะนี่ไม่ได้หลอกคนดูว่าคือเรื่องจริง สถานที่จริง [REC] ตั้งใจให้เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน เล่นกับความอยากรู้ ความเสือก และความกลัวของมนุษย์ได้ดีเกินคาด วิธีถ่ายแบบนี้ ให้ได้ภาพออกมาแบบนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับเวลาเราเล่นเกม First Person ที่คนเล่นโดนลากเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สมมติของเกมโดยอัตโนมัติ

อย่าไปหาเหตุผลมากมายอะไร แปลว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาจับผิดหรือคิดอะไรแบบ logic หนังก็คืิอหนัง มันทำหน้าที่ของมันเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แค่ปล่อยความรู้สึกไปตามภาพและเสียงที่อยู่ในจอ แล้วจะรู้สึกได้ไม่ยากเลย ว่าประสบการณ์เวลาเผชิญหน้ากับซอมบี้จริงๆแล้วมันเป็นยังไง ที่จะเตือนก็แค่ระวังอย่าให้อินมากไปก็พอ

Thursday, September 11, 2008

no news is bad news/no news is good news.







จากภาพและข้อความที่จะได้อ่านกันข้างล่างนี้
ทำให้เชื่อได้ว่า ที่ทำนายกันว่า อีกไม่นานหนังสือพิมพ์ในอเมริกาหลายร้อยฉบับ ทั้งหัวใหญ่ ห้วเล็ก โดยเฉพาะพวกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจะปิดตัวเองภายในไม่กี่สิบปี ท่าจะจริงแท้และแน่นอน ไม่ใช่แค่การเกิด web 2.0 อย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้หนังสือพิมพ์ที่เราคุ้่นเคยจะล้มหายตายจากไป
เผลอๆ วันที่ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษอาจมาถึงเร๊วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้แน่นอน
ไม่เชื่อ ลองดูพฤติกรรมที่ ใครๆก็เป็นนักข่าวได้จากภาพและข้อความจาก fwd mail นี้
แค่เรื่องนี้ก็มีให้อ่านทั้ง ฉบับภาษาเหนือ และฉบับภาษากลาง หนังสือพิมพ์ไทยจะปรับตัวกับพฤติกรรมผู้บริโภคสื่อทุกวันนี้ได้หรือไม่ เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบตอนนี้ แน่นอน ..


อันนี้ฉบับภาษาเหนือ

ข่าวด่วนจาก โฟร์ดีคอร์ปอเรชั่น
วานนี้(100908) เวลา 20.00 น. ดีไซน์เนอร์หนุ่มชื่อดังหวิดดับ ตกกะไดก้นฟาด หลังได้รับบาดเจ็บ .... หนักกกกก....

รายงานข่าวจากผู้เห็นเหตุการณ์ / พี่รัตน์ เอ ค่ะ
แจ้งว่า พี่กะลังเซ็นชื่อจะปิ้กบ้าน เสียงคนตกขั้นไดดังมา พอหันไปผ่อก็หันอุ้มมือยังกำ๋โทรศัพอยู่เลย
มันตกขั้้นไดมาตึง 3-4ขั้น แล้วมือมันไปปั๊ดกับถังเขี่ยบุหรี่ ตกเหี้ยเบ้อ
ปี้ก่อตกใจ๋ ฮ้องขึ้นมา พอดีที่เอเขากำ๋ลังสแกนมือออกจากออฟฟิศพอดี คนหลายเหมือนกั๋น
เปิ้นก่อมามุงผ่อกัน
ปี้ว่าอุ้มมันเมาโทรศัพท์นา มันเลยตกขั้นได
ก่อพอเขามามุงกั๋นมันก่อบ่อว่าได ก่อลุกขึ้นมาเตวแป๋งหน้าซื่อไป
แต่เตวกะด๊อกกะด๊อกไปนา ท่าจะเจ็บเหมือนกั๋นนะ

จบข่าว หุหุ


ส่วนอันนี้ เป็นฉบับภาษากลาง
โปรดอย่ารอคอย แค่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน

ข่าว โฟร์ดี ยามเย็น

เสียงตามสายแจ้งมาว่า ข่าวนี้ค่อนข้างเข้าใจยากเนื่องจากเป็นภาษาถิ่น ทางทีมงานจึงได้จ้างนักแปลมาแปลความได้ดังนี้นะคะ
พี่รัตน์จากเอได้ให้ข่าวว่า
พี่กำลังจะเซ็นชื่อกลับบ้านตรงป้อมยาม ก็ได้ยินเสียงคนตกบันได้ พอหันไปดู
ก็เห็นอุ้มตกลงมา ในมือยังถือโทรศัพท์อยู่เลย
ตกลงมาสัก 3 - 4 ขั้น แล้วมืออุ้มก็ไปปัดเข้ากับที่เขี่ยบุหรี่ ตกกระจาย
พี่รัตน์ตกใจเลยร้องให้คนช่วย พอดีพนักงานเอกลุ่มหนึ่งกำลังสแกนนิ้วมืออยู่ที่ประตู
ก็มามุงดูอุ้มกัน
พี่รัตน์คิดว่าอุ้มคงมัวแต่โทรศัพท์ เลยตกบันได
พอเขามามุงกันอุ้มก็ไม่พูดอะไร ก็ลุกขึ้นมาทำเดินหน้าตาเฉย
แต่ก็เดินกะเผลกๆไปนะ ท่าจะเจ็บอยู่เหมือนกัน

update เพิ่มเติม / ภาพข่าว
นอกจากถังเขี่ยบุหรี่ล้มแล้ว ราวบันไดเหล็กยังหัก และข่าวเม้ามาว่านาฬิกาพังเสียด้วย
พี่เด๋ยให้ความเห็นว่า ท่่าทางมันจะอายว่ะ เลยทำเฉยๆ

ข่าวเพิ่มเติมเย็นนี้
คุณเก่ง อารีวรรณ สุวรรณมณี เลขาคุณมงคล พงศ์อนุตรี
หลังจากสนุกสนานกับการทำข่าวการตกบันไดของอุ้มแล้ว
เกิดกรรมตามทัน
มือฟาดเข้ากับที่เก็บทิชชูในห้องน้ำหญิงอย่างจัง
ข้อมือห้อเลือด (เล็กน้อย) เจ้าตัวเผย เจ็บโคตร

กรรมใดหนอตามทันเร็วแท้

ข้อคิดก่อนจบข่าววันนี้
ช่วงนี้หน้าฝน...ระวังลื่นนะพี่น้อง

Monday, August 25, 2008

Wise Men Say Only Fools Rush In..








มีโอกาสได้ไป Indonesia เป็นครั้งแรก ตามที่ บริติช เคานซิล อินโดนีเซีย เชืญบริติช เคานซิล ประเทศไทยเนื่องมาจากโปรเจ็คต์ต่อเนื่องที่ชื่อ creative city ที่ต่อยอดมาจากที่ UK เมื่อต้นปี ผมไปในคราบของมีเดีย ตัวแทนจากไทย

น่าแปลกก็ตรงที่ อินโด กลับไม่เลือก jakarta เป็นสถานที่จัด creative city พวกเขาเลือก Bandung เมืองเล็กๆที่มีประชากรประมาณ 2 - 3 ล้านคน เมืองนี้อยู่บนเกาะชวา เกาะเดียวกับเมืองหลวง jakarta เดินทางจาก jakarta ประมาณ 300 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชม
ที่นี่ รถติดมาก ไม่ต่างจาก กรุงเทพฯ สมัยผมเรียนอยู่มัธยมปลาย กรุงเทพฯสมัยที่ยังไม่มี BTS และการเดินจากวัดแขกไปสยามเร็วกว่านั่งรถเมล์เป็นไหนๆ

Bandung เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ภายในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทดี (ตามที่เขาเล่ามา) นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ เมืองนี้อากาศดีมาก โดยเฉพาะถ้าขึ้นไปหาอะไรกินยอดเขา อากาศดีถึงขนาดที่ตามประวัติศาสตร์ไทยแล้ว King Chulalongkorn ใช้เป็นสถานที่ตากอากาศเพื่อพักฟื้นให้กับโอรสที่ป่วยหนัก และน่าประหลาดที่ โอรสพระองค์นั้นหายดีและสามารถเสด็จนิวัตรพระนครได้

ที่เมืองนี้ผมมีโอกาสได้เจอ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นคนไทยที่มาใช้ชีวิตที่เมืองนี้กว่า 20 ปีแล้ว ท่านแต่งงานกับชายชาวอินโด แน่นอนว่าบทสนทนากับคนไทยด้วยกันคงทำให้บทสนทนาครั้งนี้ออกรสชาติ และบ่อยครั้งที่ เรื่องที่ท่านมักกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง จะเป็นเรื่องความเห็นต่างกันของ 2 ชนชาติ โดยเฉพาะเรื่อง พิธีกรรม ความเชื่อตามศาสนา
หลายครั้งที่ผมได้ยินท่านกล่าวถึง คนชวาพื้นเมือง ประมาณว่า พวกอาณานิคม โดยเฉพาะชาวดัทช์ พยายามสอนให้ชาวพื้นเมือง ขี้เกียจและห้ามใฝ่รู้ แปลว่า ให้ทำตามที่สั่งอย่างเดียว อย่าเสือกทำเป็นรู้มาก แปลว่า ปลูกฝังเพื่อการเป็นทาสนั่นแหละ และมันคงฝังลึกลงไปใน DNA จากบรรพบุรุษ ทำให้พวกเขาทุกวันนี้ ก็ยังคงความขี้เกียจและโง่ดักดาน ถึงขนาดที่ท่านว่า ต่อให้มีคนมายกโรงงานที่มีคนงานเป็นชาวพื้นเมือง ท่านก็จะไม่เอาเด็ดขาด อันนี้ ไม่ใช่คำพูดของผม แต่เป็นของผู้ใหญ่ท่านนั้น

สิ่งที่ผมได้ยินการเปรียบเทียบจากผู้ใหญ่ท่านนั้น บ่อยครั้งก็คือ การเปรียบว่า พวกเขา (ชาวอินโด-ชวา) ขี้เกียจและโง่กว่าคนไทย ท่านบอกซำ้หลายรอบทีเดียว ที่เป็นโชคดีของคนไทยเรา ที่ไม่โง่และขี้เกียจเหมือนคนที่นี่

ความรู้สึกผมกลับเห็นแย้งตรงกันข้าม ผมรู้สึกว่า ขี้เกียจและโง่ ยังดีกว่า โง่แล้วเสือกขยัน เพราะอย่างน้อยที่สุด ถ้าโง่และขี้เกียจแล้ว ก็ดีนะถ้าจะขี้เกียจ ที่จะไปตัดหรือทำลายต้นไม้ ผลาญพื้นที่สีเขียวของเมือง มันน่าจะดีกว่า พวกโง่แล้วเสือกขยันในประเทศนี้ ที่โง่อย่างเดียวไม่พอยังเสือกขยันทำโง่ๆด้วย ผลสุดท้าย ก็คือสภาพบ้านเมืองที่เราเห็นคาตาทุกวันนี้

ลองเทียบ Bandung กับเชียงใหม่วันนี้แล้ว เห็นด้วยกับที่ผมว่าหรือยัง ?

Monday, August 18, 2008

Another One Bites The Dust







แคมเปญ outdoor บริเวณแยกคลองเตย (เลยตลาดปีนังตัดกับพระราม 4 ทางมุ่งไปแยกอโ๋ศก)
ชุดนี้น่าจะพิมพ์ลงบนผ้าพลาสติก
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพิมพ์ระบบ ink-jet หรือว่าพิมพ์แบบซิลค์สกรีน
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ข้อความที่ผ่านการสร้างสรรค์จากก๊อปปี้ไรท์เตอร์ ชาวชุุมชนคลองเตย
บวกกับการจัดวางที่แสดงให้เห็นทักษะของอาร์ตไดเร็คเตอร์ ที่ใช้แค่งานไทโปล้วนๆ
ก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ที่สำคัญที่สุดคือ การประกาศต่อธารกำนัลเป็นวัฒนธรรม
และเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักที่ทุกชนชั้นล้วนแสวงหาพื้นที่ที่ตัวเองสามารถจับจองได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครสังกัดชนชั้นและชุมชนไหนๆ
.. ชาวบ้าน ชาวนา ชุมชนรากหญ้า ไซด์ไลน์ นักศึกษา ม็อบ นายกรัฐมนตรี เจ้านายหรือไพร่
ประเด็นที่น่าสนใจอีกนิด คือ ข้อความตามประกาศแต่ละชิ้น... มักมีคนพูดความจริงไม่หมดอยู่เสมอต้นเสมอปลาย
ไม่เชื่อ..
ลองอ่านข้อความในภาพอีกที..