Thursday, February 26, 2009

Psychological thriller -Unbreakable-








เพราะตอนเด็กๆเคยดูละครหลังข่าวช่อง 7 เรื่อง คนเหนือดวง ที่พระเอกคือ บิณฑ์ บันลือฤิทธิ๋ (ขอโทษถ้าสะกดชื่อและนามสกุลผิด) เนื้อเรื่องพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ประมาณว่าเป็นนักทำนาย แต่ไม่ใช่หมอดูแบบพวกคอนเฟิร์ม ฟันธง หรือ โหรนู่นโน่นนี่นั่น เป็นแค่คนที่สามารถหยั่งรู้เรื่องสำคัญๆอย่างเรื่อง เลขท้ายหวยงวดนี้จะออกเบอร์อะไร หรือการลงทุนในกิจการแบบไหนจะรุ่งเรืองต่อตัวเอง เคยสงสัยพวกหมอดูบ้างไหม ว่าทำไมไม่รู้จักดูดวงตัวเองให้แน่ใจว่ามันดีพอซะก่อนที่จะไปทำนายดวงชะตาคนอื่น หรือว่า จริงๆแล้วมันมีกฎหรือเงื่อนไขการใช้ของมันอยู่ อย่างเช่น ไม่สามารถดูดวงตัวเองได้ อันนี้ทำให้นึกไปถึงพลังอย่างสแตนด์ของโจสุเกะที่ไม่สามารถใช้ Crazy Diamond รักษาตัวเองได้ หรือเงื่อนไขการใช้เน็นของลูกสาวบอสใน Hunter x Hunter ที่มีเน็นสายพิเศษสามารถทำนายอนาคตคนอื่นออกมาเป็นโคลงกลอน แต่ไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตของตัวเองได้ วกกลับมาที่เนื่อเรื่องของละครคนเหนือดวง ความสนุกมันอยู่ที่ผ่านไปเกินครึ่งเรื่อง ความสามารถของพระเอกก็หมดลง จำไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆถึงทำนายอนาคตอีกไม่ได้ นึกว่าชีวิตจะล้มเหลว แต่สุดท้ายก็ใช้ความสามารถของตัวเองนี่แหละผลักดันตัวเองให้อยู่รอดต่อไปในสังคมได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความสามารถทำนายดวงอีกต่อไป มีคำพูดกินใจจากปากพระเอกบ่อยๆว่า ชีวิตเราเรากำหนดดวงได้เอง ต้่องเป็นคนที่อยู่เหนือดวงให้ได้!!! คนความรู้น้อยอย่างผมเลยพอสรุปเอาจากละครเรื่องนั้นได้ว่า ชีวิตเราเรากำหนดเองได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องพึ่งพาการทำนายดวงชะตา ราศีสักหน่อย แล้วตั้งแต่ตอนนั้นเลยทำให้ผมรู้ตัวเองเลยว่า เป็นคนไม่ได้สนใจเรื่องดวงชะตาใดๆ เลย

แต่กลับเป็นว่า ตั้งแต่ปีใหม่ปีนี้มีเรื่องโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่ได้ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอบ่อยเข้าชักเริ่มรู้สึกตะหงิด ที่ว่ามาก็คือเรื่องเจ็บตัวและเสียเงินโดยไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลซะเท่าไหร่ วันจันทร์เพิ่งไปทำฟันมาอีกครั้ง หาหมอฟันรอบที่ 6 หรือ 7 ภายในเวลา 2 เดือน เสียเงินค่าหมอและอุปกรณ์รอบล่าสุดไปประมาณ 7 พัน ต่อด้วยคิวรักษาต่อไปคือ รักษารากฟัน ที่ซี่ที่ร้่าวแล้วไปอุดมาเกิดอาการเป็นหนองที่ปลายรากฟันข้างซ้าย

เมื่อวาน ... ที่ habitat มี sale ปิดกิจการ พาแม่และตัวเองไปเลือกซื้อของหลายอย่าง แล้วก็เอาเข้าจนได้ เกิดมาผมไม่เคยมีประวัติว่าเคยไปทำข้าวของเสียหายในร้านค้าจนต้องจ่ายเงินชดใช้มาก่อน แต่คราวนี้ถือเป็นอะไรดี คราวซวย ความโง่หรือประมาท ผมเลือกซื้อกรอบรูปไม้ขนาดประมาณ 20 x 30 cm แล้วเกิดเปลี่ยนใจอยากหาชิ้นที่เนื้อไม้มันเนียนๆกว่าอันอื่น เลือกไปเลือกมาก็พลันไปโดนกรอบขนาดใหญ่สุด (ประมาณ A1) แตะนิดเดียวมันก็ค่อยๆโน้มลงตามแรงโน้่มถ่วงโลก เชื่อไหมว่า ผมเห็นเป็นภาพสโลว์โมชั่นชัดเจน แล้วก็ตามด้วยเสียงกระจกแตก ต่อด้วยสายตาอีกหลายคู่ที่พุ่งมาไม่ที่ผมก็ที่กรอบรูปที่แตก ต่อด้วยพนักงานประจำร้านชุดดำที่สเต็ปเท้าเข้ามาอย่างเร็วพร้อมคำพูดประมาณว่า เชิญทางนี้ค่ะ ... ใช่ครับ จริงๆก็มารยาทดีแล้วล่ะ ผมแปลความหมายในหัวได้ว่า เชิญมาจ่ายเงินทางนี้ค่ะและอย่าเสือกเดินหนีไปไหนนะคะ

เยี่ยม ... ได้กรอบรูปไซส์ใหญ่สุดที่มีเศษกระจกแตกยังคงอยู่ในห่อพลาสติก ต้่องขนเอาไปขึ้นรถเองและขนลงจากรถเอง สุดท้ายก็นิ้วนางข้างขวาก็เจอเศษกระจกปักเข้าไปอีก ตอนที่ผมพิมพ์อยู่นี่ก็ไม่ค่อยจะถนัดเลย เพราะระแวงเจ็บ

แวบแรกที่ผมเห็นกรอบรูปค่อยๆล้มลงพร้อมเสียงกระจกแตก ภาพฉากไคลแมกซ์พร้อมเสียงในฟิลม์ของหนังเรื่อง Unbreakable ก็แวบเข้ามาในหัวเฉยเลย ถ้าเคยดูหนังเรื่องนี้ไม่น่าจะลืมฉากที่ Mr. Glass (Samuel L. Jackson) ค่อยๆกลิ้งล้มตกบันไดลงไปทีละขั้นทีละขั้น พร้อมเสียงกระดูกแตกละเอียดแบบเสียงกระจกแตกนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมแต่ผมชอบ Unbreakable มากกว่า Six Sense หลายช่วงตัว หนังเรื่องที่สองของ M. Night Shyamalan เรื่องนี้ถือเป็นหนัง Superhero ที่มีวิธีเล่าเรื่องแบบหน้าด้านๆ เฉยเลย ถึงแม้ Bruce Willis จะเป็นพระเอกง่อยๆที่ค่อยๆค้นพบว่าจริงๆแล้วตัวเองเกิดมาเป็น Superhero ในโลกชีวิตจริงก็ตาม แต่เสน่ห์ของทั้งเรื่องกลับไปตกอยู่กับ Samuel L. Jackson ในบทของ Elijah Price ชายที่เกิดมาพร้อมกับโรคประจำตัวสุดพิลึกพิสดารอย่าง Osteogenesis Imperfecta หรือก็คืออาการที่กระดูกทั่วทั้งร่างล้วนเปราะและแตกได้ง่ายดายสุดๆ ตั้งแต่เด็กเลยถูกเพือนล้อและตั้งชื่อให้ใหม่เสร็จสรรพว่า Mr. Glass เพราะอาการทางกายและสภาพหน้าตาแบบนั้นทำให้กลายเป็นคนเก็บตัว เข้ากับคนอื่นก็ลำบาก วันๆต้องนอนแต่ที่โรงพยาบาล ยังดีที่ยังวาดรูปได้ เขาวาดทุกอย่างที่อ่านมาจาก Comics จนกลายเป็นกิจวัตร

ไม่รู้ว่าอินหนักกับโลกของ Comics ชนิดถอนตัวไม่ขึ้นหรือเปล่่า ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ทฤษฎีของมิสเตอร์กลาสก็น่าสนใจเอามากๆ เขาเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเองรู้สึกว่าจิตอ่อนแอพร้อมจะแตกกระจุยมากที่สุด ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมันอาจจะมีอีกคน ใครสักคนก็ไม่รู้ล่ะที่กลับเข้มแข็งและแข็งแกร่งมากขึ้น มากขึ้นอยู่แน่ๆ อย่าเพิ่งแปลกใจถ้ารู้สึกว่า มิสเตอร์กลาส มีวิธีคิดแบบนี้ นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนต่างยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Superhero จากโลก Comics ที่สุดแสนพิลึกพิสดารแบบที่ผู้กำกับไม่ได้สนเลยมั๊งว่าตัวเองเพิ่งดังสุดๆมาจาก เด็กชายที่เห็นคนตายตลอดเวลา

ผมนึกถึง Mr. Glass ใน Unbreakable ก่อนแล้วค่อยนึกถึง บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ในเรื่อง คนเหนือดวง แล้วค่อยกลับมานึกถึงความเขลาของตัวเอง ไม่ควรใช้คำว่า ซวย แม้แต่น้อยสำหรับที่เจอมาวันนี้

Tuesday, February 24, 2009

There's no other way than to say good-bye



ถ้าจำไม่ผิด ต้องไม่ใช่ตอนอยู่ปี 1 แน่ๆที่เพื่อนผมคนนั้นไปโผล่หน้าอยู่ในแค็ตตาล็อก habitat thailand สมัยนั้น ถ้าพ่อแม่ไม่รวยและตัวลูกไม่ได้บ้าแบรนด์ขนาดนั้น คงไม่มีเด็กมหาวิทยาลัยคนไหนเป็นเจ้าของเฟอร์นิเจอร์ habitat ทั้งห้อง ตอนปิดเทอมใหญ่ปีหนึ่งที่ไปลอนดอนกับที่คณะ เข้าไป habitat ก็ไม่ได้รู้สึกว่า ราคาจะแพงเหมือนตอนที่มาเปิดที่ดิสคัฟเวอรี่ใหม่ๆ
ผมยังจำได้ว่า habitat เคยแจกของรางวัลเป็นกรอบรูป ลงเป็น flipper ใน art4d (ถ้้าจำไม่ผิด) ตอนนั้นไปโกยมาได้หลายชิ้นเลยล่ะ ตอนที่ทำงานที่ art4d ใหม่ๆ ตอนนั้น british council + habitat + art4d จัด exhibition ที่ชื่อ Sphere ลากเอา Tom Dixon มาเมืองไทย ตอนนั้น Tom เป็น design director ให้ habitat งานนั้นเป็นงานกราฟิกชิ้นแรกที่ผมทำให้กับ british council
ผ่านไปสักพัก พอเห็นราคาของ habitat กลับไม่ได้รู้สึกว่าแพงอะไรมาก โดยเฉพาะพวก item ชิ้นเล็กๆ ไม่รู้ว่าเพราะทำงานหาเงินได้เองแล้ว หรือว่าเรื่มเข้าใจว่าราคาสินค้าที่รวมค่าลิขสิทธิ์ ค่าการตลาดและค่านู่นค่านี่ มันก็ไม่ได้แพงเกินความเป็นจริงสักเท่าไหร่
ตอนหลังๆที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งทำงานที่ CHM และคอย update ข้อมูลคอลเลคชั่นใหม่ ทั้งของ Herman Miller และ habitat อย่างเสมอต้นเสมอปลาย น่าประหลาดที่มี Sale หลายต่อหลายหน ผมแทบไม่เคยมีโอกาสได้ซื้อสักที เพราะไปทีไรของที่อยากได้ก็หมดอีกแล้ว
คราวนี้ คงเป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะได้หาซื้อของ habitat ในกรุงเทพฯ ผมคงไม่บ้าขนาดถ่อไปซื้อถึงลอนดอนแน่นอน แต่แค่คิดว่าต่อไปจะไม่มี habitat อีกแล้วก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน ...

Wednesday, February 11, 2009

and the whole world has to answer right now... who's bad?






โฮเนะกาว่า ซึเนะโอะ คือตัวละครที่ออกแบบมาได้อย่างสุดยอดที่สุดของ Fujiko F Fujio ตอนเด็กๆที่อ่านโดเรมอน ผมยังไม่รู้สึกอะไรกับซึเนะโอะมากขนาดนี้ ก็แค่รู้สึกว่า ไอ้หมอนี่เป็นเพื่อนที่น่ารังเกียจชมัด แต่พอกลับมาได้อ่านแล้วคิดตามไปเรื่อยๆ กลับรู้สึกว่า ไอ้เด็ก ป. 4 คนนี้ไม่ใช่คน มันไม่ใช่มนุษย์ นี่คือตัวละครที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตั้งใจให้ออกมาเละได้ขนาดนี้ ซึเนะโอะเรียนห้องเดียวกับโนบิตะ บ้านรวย ขี้อวด ขี้คุย ขี้โม้ หลงตัวเองแน่นอน ปากหวาน หน้าด้าน ไหลไปเรื่อย แถมเข้าหาผู้ใหญ่เก่งชะมัด ดีเข้าตัว ชั่วเข้าโนบิตะ ความฝันคือ อยากเป็นดีไซเนอร์ ... เอาเข้าไป หน้าอย่างงี้ อยากเป็นดีไซเนอร์
Fujiko F Fujio ตั้งใจตั้งชื่อให้ไอ้เด็กคนนี้ว่า ซึเนะโอะ นามสกุลว่า โฮเนะกาว่า ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นได้ยินชื่อจะคิดว่า เด็กคนนี้คงยากจนข้นแค้นมากๆ (เดาว่า ชื่อและนามสกุลน่าจะแปลได้ว่า ยากจนแสนเข็ญ) ขนาดโดเรมอนยังพูดถึงซึเนะโอะไว้ว่า เป็นคนที่นิสัยไม่ดีจริงๆ แต่ผมล่ะชอบบทพูดและจังหวะในการเลือกพูดของซึเนะโอะจริงๆ อย่าง ประโยคที่จะขอยืมของวิเศษจากโดเรมอนแล้วไม่ได้ "ฉันนะ หัวก็ดี หน้าก็หล่อ ที่เหลือก็กลุ้มใจ แค่เรื่องเตี้ย ... ไม่มีเลย ไม่ให้ใช่มั๊ยล่ะ คุยว่าในกระเป๋ามีทุกอย่าง ขี้โม้ชัดๆ" หรืออย่างตอนที่เล่นหมากรุกแข่งกะโนบิตะ "อืมม เก่งเกินคาด ทั้งๆที่เป็นโนบิตะ" แล้วพอเล่นชนะแล้วมีคนชมว่า "ซึเนะโอะซังเนี่ย เก่งจังเลย" ก็ดันตอบว่า "ไม่หรอกโนบิตะอ่อนเกินไปตังหาก ไม่ว่าให้ทำอะไร" ฉากทุเรศๆก็มีอีกตอนที่มายืนรอโนบิตะหน้าบ้าน เพื่อรอจะพูดกับโนบิตะที่กำลังป่วยอยู่ว่า "เป็นหวัดงอมเชียวนะ ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายจัง เพราะฉันจะไปบ้านพักตากอากาศที่เกาะโยโจฮัน อุตส่าห์ตั้งใจมาชวนนายไปด้วย" หรือไอ้ประโยคประเภท "เสียใจด้วยนะ โนบิตะ เกมนี้เล่นได้แค่ 3 คน" ส่วนข้ออ้างพอตอนประกาศผลสอบ ซึเนะโอะตอบครูว่า ที่จริง.. เพราะว่าแม่ผมไม่สบาย .. กลางคืนก็ไม่ได้นอน เฝ้าพยาบาล จนไม่ได้ดูหนังสือ" ดูความหน้าด้านและวิธีโกหกของซึเนะโอะจะทำให้รู้ว่า ตัวละครตัวนี้โคตรฉลาดและอำมหิต! อำมหิตกับทั้งโนบิตะ โดเรมอนและแม้แต่ไจแอนท์ ! มันไม่ใช่คนจรืงๆ แต่ก็แปลกดี เพราะสุดท้ายพวกโนบิตะก็ยังคบเป็นเพื่อนอยู่ตลอดทั้งเรื่องน่ะแหละ

ตอนสุดท้ายที่เซอร์ไพรส์ผมสุดๆ เพราะลืมไปเกลี้ยงแล้ว จะบอกว่าลืมก็คงไม่ถูกสักทีเดียว เรียกว่าไม่รู้เลยดีกว่า ว่า ซึเนะโอะมีน้องชายแท้ๆ !! ขื่อว่า ซึเนะซึงุ ที่ย้ายไปเป็นลูกบุญธรรมของลุงที่นิวยอร์ค หน้่าตาเหมือนซึเนะโอะ ตัวเล็กกว่า ผมไม่ชี้เท่า แถมพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟซะด้วย โชคดีที่น้องชายของซึเนะโอะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เลวสุดๆแบบพี่ชาย ...

Tuesday, February 10, 2009

Miracle Drug?







Thailand Business Week ฉบับล่าสุด (กุมภาพันธ์ 2552) มีบทความที่ทำผมต้องสะดุดอย่างแรงเรื่อง "ยาเสริมสร้างความฉลาดกำลังจะบูม" บทความของ Ellen Gibson ผมไม่แน่ใจว่าบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร แต่ที่แปลมาเลือกใช้คำว่า "ยาเสริมสร้างความฉลาด" และ subhead ก็ต่อด้วยคำว่า "ยาเสริมการรับรู้" ผู้เขียนเกริ่นนำด้วย เรื่องของบัณฑิตจบใหม่ที่มีนัดสัมภาษณ์งานครั้งสำคัญ นอกจากการเลือกชุดที่เหมาะที่สุดแล้ว ยาเสริมความจำและการทำงานของสมองที่เข้ากับสถานการณ์ถือเป็นสิ่งจำเป็๋นอีกอย่าง Adderall ช่วยให้สมาธิดีขึ้น หรือ Provigil เพื่อกระตุ้นความตื่นตัว หรือ ยาต้านเบต้า เพื่อช่วยลดความตื่นเต้น

ในอเมริกา นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ใช้ยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์เป็นตัวช่วยระหว่างเรียนและพอเข้าสู้ตลาดแรงงาน มืออาชีพที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากแอบใช้ยาพวกนี้ ส่วนกลุ่ม baby boomer เห็นว่าการใช้ยา "บำรุงสมอง" เพื่อยับยั้งโรคความจำเสื่อมชั่วคราว ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ผู้เขียนยกงานเขียนของ Henry T. Greely ศาสตราจารย์จาก Stanford Law School ที่เขียนเอาไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่คนเราจะสามารถเอาชนะความตื่นกลัว "ผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมด้านจิตใจน่าจะสามารถพัฒนาการรับรู้ด้วยการใช้ยา"

ว่ากันว่า ยาเสริมการรับรู้ที่ชื่อ Adderall XR เป็นยาที่พัฒนามาจากยารักษาโรคสมาธิสั้น ช่วงท้ายบทความชิ้นนี้ยังเขียนเอาไว้อีกว่า ในบางสถานการณ์ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้อย่างเต็มที่สำหรับผู้บริหารที่จะสนับสนุนพนักงานในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการใช้ยา ... ผมอ่านบทความนี้ด้วยความสนใจใคร่รู้ถึงยาวิเศษตัวนี้ -ยาเสริมการรับรู้ - ยาลดความตื่นเต้น - ยาเสริมสร้างความฉลาด - ยาเสริมความจำ มันคืออะไรกันแน่ .. แล้วก็ได้รับคำตอบจาก Wiki

Adderall is a brand-name pharmaceutical psychostimulant composed of mixed amphetamine salts, which is thought to work by increasing the amount of norepinephrine and dopamine in the brain.[1] It is available in two formulations: immediate release and extended release (XR). The immediate release formulation is indicated for use in Attention Deficit Hyperactivity Disorder (ADHD) and narcolepsy,[2] while the XR formulation is only approved for use in ADHD.[1]

Shire Pharmaceuticals introduced the Adderall brand in 1996 in the form of a multi-dose, instant-release tablet derived from an original formula of the weight management drug Obetrol. In 2006, Shire agreed to sell rights to the Adderall name for this instant-release medication to Duramed Pharmaceuticals[3] and this instant-release medication has since become available in a generic formulation of "mixed amphetamine salts"[4]. The active ingredients of Adderall XR include a combination of dextroamphetamine and racemic DL-amphetamine salts.[4] In 2001, Shire Pharmaceuticals introduced an extended-release preparation of these ingredients in a variety of dosages under the brand name "Adderall XR", on which Shire retains exclusive patent rights until the patent expires, expected in 2018.[5]

นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ของยาที่ว่า แค่ Adderall ตัวเดียวเท่านั้น ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ลอง search จาก google กันเอาเอง แล้วจะให้ยอมรับสิ่งที่บทความนี้เขียนถึงได้อย่างไร - เปล่า - ผมไม่ได้ไม่ยอมรับ ข้อเท็จจริงที่นำเสนอใน business week แม้แต่น้อย แต่ข้อเขียนนี้ละเลยสิ่งที่ควรรับผิดชอบกับสังคมหรือเปล่า ทำไมเนื่้อหาหลายย่อหน้า หรือการยกคำพูดของใครหลายๆคนถึงดูเหมือนว่า นี่คือ การสนับสนุนให้เรา-ท่าน ยอมรับความเป็นจริงที่คนรุ่นใหม่ๆต่างต้องพึ่งพาการใช้ยา -- นี่ไม่ใช่ ยาวิเศษ ไม่เข้าใจว่าผู้เขียนและผู้แปลทำไมถึงจงใจที่จะสร้างสรรค์คำเรียกให้ดูสวยหรู -ยาเสริมการรับรู้ - ยาลดความตื่นเต้น - ยาเสริมสร้างความฉลาด - ยาเสริมความจำ นี่คือ ยาบ้า ยาไอซ์ และสารกระตุ้นดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่ามันมีแบรนด์และซื้อหากันได้ตามใบสั้งแพทย์และทางอินเตอร์เน็ต ขอแสดงความยินดีที่ต่อไปเราจะมีตัวช่วยทุกๆอย่างๆแม้แต่ตัวช่วยสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง - ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างจากการดมโค้ก - เคี้ยวใบกระท่อม = เสพยาบ้า ตรงไหน ถ้าอยากเสพยา เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ กรุณาอย่า เอาคำว่า เสริมสร้างความฉลาดและการรับรู้มาอ้างกันเลย

Thursday, February 5, 2009

Don't Let Me be Misunderstood.




อันเนื่องมาจากบทความที่ลงในมติชนรายวัน ฉบับเมื่อวันที่ 3 กุมภา 2552 หน้า 7 ใน section กระแสทรรศน์ (หน้าขวา) ปกติแล้วถ้าเป็นข้อเขียนที่พิมพ์อยู่หน้าขวามักจะถูกผมปฎิเสธอย่างไม่ไยดี ไม่มีเหตุผลพิเศษอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกว่าพื้นที่ในหน้าขวา (หน้า 7) จะถูกจัดสรรให้ขาจรมากกว่าขาประจำ แต่หน้า 7 ของเล่มนี้กลับลากให้ผมต้องอ่านบทความนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ

บทความนี้ชื่อ จะริ่งค่งม จะรญชึน เจินรพอน เขียนโดย พิศศรี กมลเวชช ข้างใต้ชื่อตนเขียนพิมพ์กำกับไว้ด้วยชื่อสถาบันที่สังกัด - มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ -
ผมคงต้องยอมซูฮกให้กับ วิธีเรียกความสนใจของผู้เขียน ที่ทำได้ประสบความสำเร็จแบบไร้ข้อกังขา ด้วยการตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นใครก็คงต้องสงสัยและอยากรู้แน่ๆว่า ไอ้ชุดคำที่เรียงกัน 3 บรรทัดนี่ คืออะไรกันแน่ แน่ใจหรือว่าเป็น ภาษาไทย เพราะครั้งแรกที่ผมเห็นชื่อบทความชิ้นนี้ ผมก็ไม่สามารถอ่านออกเสียงได้่แล้วตั้งแต่บรรทัดแรก

แต่ที่น่าสนและดูเหมือนจะติดกับผู้เขียนเข้าจังเบ้อเร่อ ก็คือย่อหน้าแรกของบทความนี้แหละ ย่อหน้าที่ช่วยให้ปริศนทุกอย่่างไขกระจ่างจนได้ ผู้เขียนเรื่มเรื่องด้วย ... ถ้าท่านพบคำเหล่านี้ " จะริ่งค่งม จะรญชึน เจินรพอน จะรงพ๊อง จันร่นพ่น ... " แล้วผู้เขียนบอกท่านว่า ทั้งหมดนี้เป็นการเขียนตามคำบอกคำเดียวกัน และเป็นคำไทยที่ท่านรู้จักดี ไม่ใช่ภาษาเขมรแน่นอน " ท่านอาจจะคิดว่าผู้เขียนล้อเล่น นอกจากไม่ได้ล้อเล่นแล้ว ถ้าบอกว่าคนเขียนคำแปลกๆเหล่านี้เป็นนักเรียนที่อยู่ถึงระดับมัธยมศึกษาโดยจบจากชั้นประถมปีที่ 6 จากหลายโรงเรียน และต่างก็เรียนภาษาไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ปี แล้วเขียนคำว่า "เจรืญพร" ได่อย่างที่เห็น ซึ่งผู้เขียนเสนอเพียง 4-5 แบบ

เชื่อไหมว่า เฉพาะคำนี้เมื่อให้่นักเรียนกลุ่มนี้ประมาณ 30 คนเขียน มีถึง 34 แบบ ผิดเกินจำนวนคนเขียน เพราะบางคนเมื่อให้เขียน 2 ครั้งก็เขียนผิดมา 2 แบบ สำหรับคำว่า "เจริญพร" ที่เขียนมาสารพัดแบบนั้น เหลือเค้าให้สังเกตได้ก็มีเพียงขึ้นต้นด้วยตัว จ หรือที่ใกล้เคียงคำเดิมมากกว่านั้น ก็ตรงมีเสียง จะ นำหน้า

แล้วผู้เขียนก็เน้นย้ำในบรรทัดต่อมาว่า ... ทำให้เห็นได้ชัดว่า นักเรียนพยายามอย่างหนักที่จะเรียกความจำขึ้นมาใช้ โดยไม่มีหลักการผสมคำ การสะกดคำเข้าไปช่วย ฉะนั้น เด็กที่ออกเสียงได้ จึงไม่ใช่ อ่านได้่ แค่ จำเสียงของรูปเขียนได้ เท่านั้น (ยืนยัน! เพราะแม้จบขั้นปริญญาแล้วก็ยังมีอาการนี้อยู่ไม่น้อย)

ผมไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่ พิศศรี กมลเวชช เขียนในย่อหน้าที่แล้วได้ทั้งหมด ที่บอกว่า นักเรียนพยายามอย่างหนักที่จะเรียกความจำขึ้นมาใช้ โดยไม่มีหลักการผสมคำ การสะกดคำเข้าไปช่วยนั้น ไม่อยู่ในกรณีที่จะสามารถรับได้ว่า เด็กคนที่ได้ยินคำว่า เจริญพรและเขียนออกมาเป็นคำว่า จะริ่งค่งม นั้นใช้ข้อมูลความจำจากไหน ? นี่ไม่ใช่คำหรือรูปแบบคำที่จะยอมรับได้ว่า เด็กคนนี้ได้พยายามอย่างหนักในการเรียกความจำ ความจำของอะไร ? ความจำว่าคำๆนี้น่าจะเขียนออกมาเป็นเช่นนี้หรือ ? ที่ผมสงสัยมากกว่าก็คือ การเลือกใส่ วรรณยุกต์ เข้าไปในคำๆนี้มากกว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่ผมคิดว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ใช้ความพยายามในการเรียกข้อมูลที่เคยจำได้ว่าตัวนี้หน้าตาเป็นเช่นไร เขียนหรือสะกดอย่างไร แต่เป็นการมั่วแบบโคตรมั่วมากกว่า ในสถานการณ์ที่ตอบไม่ได้ในการทดสอบ หนทางรอดเอาดาบหน้าก็คือ รู้แล้วล่ะว่า เจริญพร ต้องมีตัว จ แน่ๆ ส่วนที่เหลือตอบไม่ได้จริงๆก็ยัดมันลงไปให้เด็มที่ที่สุด ยิ่งเขียนมากเปอร์๋เซ็นต์ที่อาจจะถูกก็๋จะมีมากขึ้นตามไปด้วย นั่นเลยพอจะอนุมานเอาได้ว่าทำไมถึงเลือกใส่วรรณยุกต์เข้าไปด้วย

ผู้เขียนยังบรรยายต่อไปว่า ไม่ว่าคำนั้นจะสั้นๆแค่พยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ยังเกิดอาการเดียวกัน อย่างดีที่สุดที่เรียกความจำได้คือเรียกได้ครบ ชนิดครบแต่ตัว เช่นคำว่า บาตร ก็เขียนมาเป็น ตรบา ใยบัว เป็น ใยวับ กล้าหาญ เป็น ก้าลหาญ รางวัล เป็น ลางวัร อาหาร เป็น อาหรา เป็นต้น
ผู้เขียนกล่าวถึงกระบวนการสอน การใช้ภาษา ที่ไม่สร้างภาระการจำให้เกิดกับเด็กจนเกินกำลัง ผู้เขียนกล่าวถึงวิธีการเรียน-การสอนในปัจจุบันที่มักจะนิยมให้เด็กอ่านคำ มากกว่า การสอนแบบแจกลูก ไล่ทุกเสียง ผลปรากฎก็คือ เด็กจะอ่านได้เฉพาะคำที่เคยเห็นและจำได้ และจะเรียกว่าเด็กพวกนี้อ่านได้ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนัก น่าจะเรียกว่า จำได้ มากกว่า อ่านได้

จริงๆแล้วในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนยังพูดเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างธรรมชาติและลักษณะของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ แนะนำว่าครูที่จะสอนไม่ควรใช้วิธีการสอนที่เหมือนๆกันสอนระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษ ถึงแม้ช่วงเริ่มต้นจะโอเคอยู่บ้างถ้าสอนการพูด - การฟัง และจะไม่เข้าท่าเลยถ้าใช้วิธีการสอนอ่าน - เขียนด้วยวิธีการแบบสอนเป็นคำ

ผมไม่มีความรู้เรื่องการเรียน-การสอนภาษาไทยหรือแม้แต่การเรียน -การสอนภาษาอังกฤษ อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะสอนฟัง สอนพูด สอนอ่าน หรือว่าสอนเขียน จะให้เอามาพูดเป็นฉากๆ แบบที่ พิศศรี ยกขึ้นมาเขียนสนับสนุนเนื้อหาในบทความก็คงไม่ไหว และนั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมจะจบข้อเขียนของผมไว้ตรงนี้จะดีกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
คำเตือน - หากอ่านบทความนี้ไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าใครเป็นคนเขียน คุณสามารถสอบถาม / และหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทั้งจากผมและจากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับ วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2552

Wednesday, February 4, 2009

dead man talking






เอามาจากด้านหลังของสมุดเล่มเดิม ดูเหมือนว่าช่วงนั้นจะหมกมุ่นแต่กับเรื่องความตาย แม้แต่คำพูดของ andy warhol ที่จดไว้ก็หนีไม่พ้น ...
warhol เคยพูดเอาไว้ได้น่าสนใจไม่น้อยเกี่ยวกับ ความตาย เพียงแต่แค่สงสัยว่า ตอนที่พูดยังมีชีวิตอยู่ ยังพูดให้ดูเท่ได้ แต่พอเวลาที่ต้องตายจริงๆแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่า จะระลึกได้หรือเปล่า ว่าตอนยังไม่ตาย เคยพูดเอาไว้ว่ายังไง และตอนที่ต้องตายจริงๆจะคิดได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ไม่มีใครรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ทำให้นึกถึง dialogue หนึ่งของหนังเรื่อง kairo ที่ว่า "ความตายคือ ความโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์ ความตายคือ ความเงียบเหงาชั่วนิรันดร์" ...

I never understand why when you died, you didn't just vanish, and everything could just keep going the way it was only you just wouldn't be there. I always thought I'd like my own tombstone to be blank. No epitaph, and no name well, actually, I'd like to say "figment".

อ่านจนจบแล้ว รู้สึก ironic กันบ้างไหม มีใครเคยเห็นหลุมศพและป้ายหน้าหลุมศพของ andy warhol กันบ้าง อยากรู้ว่าจะมีหลุมศพไม่ติดป้ายหน้าหลุมไปทำไมถ้าคิดว่า ตายแล้วก็แค่ vanish ต้องไม่มีแม้แต่หลุมศพเลยไม่ใช่หรือ ไม่ใช่แค่ไม่มีชื่อสลักไว้ที่ป้ายหน้าหลุม

dead man walking








หยิบสมุด sketch ที่ด้านหน้าเซ็นเอาไว้ว่า เริ่มใช้เมื่อปี 2005 แถมมี brochure หนัง always ยังอยู่เหมือนเดิม ช่วงหน้าแรกๆที่เปิดๆดู​คือ ตอนคิดงาน stone ตอนกลางๆมี ladder lounge ในงานสถาปนิก ช่วงท้ายๆเป็นเล่ม skin แต่หน้าหลังนี่น่าสนใจกว่ามาก พยายามจะนึกให้ออกให้ได้ ว่าทำไมถึงมีแต่ข้อเขียนที่เกี่ยวพันกับความตาย

ย่อหน้าต่อๆไปอ่านแล้วคงรู้สึกหดหู่สำหรับคนที่ไม่ชินกับความตาย ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดี ก็อย่าอ่านเลยก็แล้วกัน ผมแค่อยากระลึกถึงข้อเขียนด้านหลังสมุดเล่มนี้ไว้ ระลึกว่า เวลานั้น เขียนขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน

050106
ความตายอยู่กับเราเสมอ เวลาที่คนใกล้ตาย ความจำอะไรจะโดดออกมาในช่วงเวลาสุดท้าย พ่อกับแม่ ครอบครัวหรือคนรัก

150206
ผมชอบเสียงพระสวดที่นี่ การสวดพระอภิธรรมศพ คือการสวดเพื่อคนที่อยู่ คนที่มาฟัง ไม่ค่อยได้อะไร ภาษาบาลีนอกจากเพราะแล้ว ผมแปลไม่ออกจริงๆ
- เพราะว่าบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกเบื้องหน้า
- วันและคืน ล่วงไป ล่วงไป คนทั้งหลายหาความตายด้วยกันทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคน .... และคนชรา ทั้งคนมั่งมีและคนเข็ญใจ ล้วนมีความตายอยู่ต่อหน้าด้วยกันทุกคน
- คนเป็นจำนวนมาก บางคนเห็นหน้ากันอยู่เมื่อตอนเช้า ครั้นตกเย็นตายเสียแล้วไม่เห็นกัน บางคนเห็นหน้าเมื่อตอนเย็น ครั้นรุ่งเช้าตายเสียแล้ว ไม่เห็นกัน
- สัตว์ทั้งหลายล้วนตายมาด้วยกัน เพราะว่าชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจะเป็นผู้รับผลแห่งบุญและบาปไปตามกรรมที่ตนทำไว้ ผู้เจริญทั้งหลาย ร่างกายของเรานี้ มืได้มีแก่นสารมั่นคง คือไม่ปรากฎนานเท่านาน อุปมาดังสายฟ้าที่แลบออกมาแล้วหายไปกับท้องฟ้า

ตัวหนาคือที่ผมเขียนขึ้นมาใหม่ ไม่ได้อยู่ในบันทึก - คิดว่าน่าจะเป็นบทสวดที่ผมเขียนตามที่พระสวด พอลองนึกดูแล้ว มีไม่กี่วัดที่สวดเป็นภาษาบาลีและภาษาไทยเป็นคำแปล - วัดเทพศิรินทร์ -

150306
ศาลา 7 วัดธาตุทอง
- ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง สถานีเอกมัย ลงมาแล้วเดินไปทางซ้าย มองลงไปเป็นเวิ้งที่เงียบเหงา แดดตอนเย็นแบบนี้ ชัดเจนเหลือเกินว่าชีวิตมันก็เท่านี้ ผ่านมา 1 เดือน ศพเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ศพ นำ้ตาไม่ช่วยอะไร นอกจาก ...
- ผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ในงานศพแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้ ตอนนี้ ที่นี่ แผ่นหลังของพ่อ ผมมองเห็น เสื้อกล้ามที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตขาวตัวนั้น แผ่นหลังเดิม นำ้ตาของพ่อ ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นของจริง นอกจากเรื่องของผมแล้ว นี่เป็นอีกเรื่องที่พ่อเผยความบอบบางออกมา
- ความจริงที่ผมเลือกที่จะลืมไปนานแล้วก็คือ ปู่ภาพเป็นคนเลี้ยงพ่อผมตั้งแต่เล็ก ปู่ภาพเป็นน้องชายของย่า ที่เป็นแม่ของพ่อที่เสียไปตั้งแต่พ่อไม่ถึง 2 ขวบ
- สิ่งที่ผมเกลียดคือกลิ่นดอกไม้อบอวลในศาลา เหมือนผู้หญิงฉีดนำ้หอมไร้รสนิยมและความพอดี แต่ตอนนี้สิ่งที่เกลียดยิ่งกว่าคือ ภาพติดตา
- ฉากกั้นสีนำ้เงินออกไปแล้ว โลงถูกยกวางบนที่ของมัน คนตายจะมีนำ้หนักเพิ่มแค่ไหนไม่รู้ ทำไมถึงยอมรับกับความตายไม่ได้ มนุษย์ไม่ชาชินกับความพลัดพราก ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเราแม้แต่เราเอง
- ถ้าอยากเห็นสิ่งที่ไม่ตาย ก็จงเห็นความเกิดและความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสังขาร ... พุทธทาสภิกขุ ...
- แค่การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซ

- เลือกเกิดมาแล้ว ก็มีแต่จะต้องตาย เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ต้องเผชิญกับทุกข์ภัยต่างๆ ชีวิตความเป็นอยู่ กับทั้งสมบัติมากมายประดามี เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน
- ความตายที่ใกล้เข้ามาเสมอ ทุกๆระยะลมหายใจเข้าออก จึงควรที่จะรวบรวมกุศลธรรมที่ได้ไว้ในใจ กุศล อกุศล ที่บุคคลทำไว้เท่านั้น ย่อมติดตามไปด้วย เหมือนเงาติดตามตัวไปฉันนั้น

แค่พิมพ์ตามที่เขียนไว้ ยังรู้สึกหดหู่ขนาดนี้ ตอนนั้นผมจะรู้สึกขนาดไหน สมองเลือกที่จะ delete memory ความรู้สึกช่วงนั้นทิ้งไปแน่ๆ แต่ที่เขียนไว้ด้านหลังสมุดเล่มนั้นยังอยู่ ...