Thursday, February 26, 2009

Psychological thriller -Unbreakable-








เพราะตอนเด็กๆเคยดูละครหลังข่าวช่อง 7 เรื่อง คนเหนือดวง ที่พระเอกคือ บิณฑ์ บันลือฤิทธิ๋ (ขอโทษถ้าสะกดชื่อและนามสกุลผิด) เนื้อเรื่องพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ประมาณว่าเป็นนักทำนาย แต่ไม่ใช่หมอดูแบบพวกคอนเฟิร์ม ฟันธง หรือ โหรนู่นโน่นนี่นั่น เป็นแค่คนที่สามารถหยั่งรู้เรื่องสำคัญๆอย่างเรื่อง เลขท้ายหวยงวดนี้จะออกเบอร์อะไร หรือการลงทุนในกิจการแบบไหนจะรุ่งเรืองต่อตัวเอง เคยสงสัยพวกหมอดูบ้างไหม ว่าทำไมไม่รู้จักดูดวงตัวเองให้แน่ใจว่ามันดีพอซะก่อนที่จะไปทำนายดวงชะตาคนอื่น หรือว่า จริงๆแล้วมันมีกฎหรือเงื่อนไขการใช้ของมันอยู่ อย่างเช่น ไม่สามารถดูดวงตัวเองได้ อันนี้ทำให้นึกไปถึงพลังอย่างสแตนด์ของโจสุเกะที่ไม่สามารถใช้ Crazy Diamond รักษาตัวเองได้ หรือเงื่อนไขการใช้เน็นของลูกสาวบอสใน Hunter x Hunter ที่มีเน็นสายพิเศษสามารถทำนายอนาคตคนอื่นออกมาเป็นโคลงกลอน แต่ไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตของตัวเองได้ วกกลับมาที่เนื่อเรื่องของละครคนเหนือดวง ความสนุกมันอยู่ที่ผ่านไปเกินครึ่งเรื่อง ความสามารถของพระเอกก็หมดลง จำไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆถึงทำนายอนาคตอีกไม่ได้ นึกว่าชีวิตจะล้มเหลว แต่สุดท้ายก็ใช้ความสามารถของตัวเองนี่แหละผลักดันตัวเองให้อยู่รอดต่อไปในสังคมได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความสามารถทำนายดวงอีกต่อไป มีคำพูดกินใจจากปากพระเอกบ่อยๆว่า ชีวิตเราเรากำหนดดวงได้เอง ต้่องเป็นคนที่อยู่เหนือดวงให้ได้!!! คนความรู้น้อยอย่างผมเลยพอสรุปเอาจากละครเรื่องนั้นได้ว่า ชีวิตเราเรากำหนดเองได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องพึ่งพาการทำนายดวงชะตา ราศีสักหน่อย แล้วตั้งแต่ตอนนั้นเลยทำให้ผมรู้ตัวเองเลยว่า เป็นคนไม่ได้สนใจเรื่องดวงชะตาใดๆ เลย

แต่กลับเป็นว่า ตั้งแต่ปีใหม่ปีนี้มีเรื่องโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่ได้ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอบ่อยเข้าชักเริ่มรู้สึกตะหงิด ที่ว่ามาก็คือเรื่องเจ็บตัวและเสียเงินโดยไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลซะเท่าไหร่ วันจันทร์เพิ่งไปทำฟันมาอีกครั้ง หาหมอฟันรอบที่ 6 หรือ 7 ภายในเวลา 2 เดือน เสียเงินค่าหมอและอุปกรณ์รอบล่าสุดไปประมาณ 7 พัน ต่อด้วยคิวรักษาต่อไปคือ รักษารากฟัน ที่ซี่ที่ร้่าวแล้วไปอุดมาเกิดอาการเป็นหนองที่ปลายรากฟันข้างซ้าย

เมื่อวาน ... ที่ habitat มี sale ปิดกิจการ พาแม่และตัวเองไปเลือกซื้อของหลายอย่าง แล้วก็เอาเข้าจนได้ เกิดมาผมไม่เคยมีประวัติว่าเคยไปทำข้าวของเสียหายในร้านค้าจนต้องจ่ายเงินชดใช้มาก่อน แต่คราวนี้ถือเป็นอะไรดี คราวซวย ความโง่หรือประมาท ผมเลือกซื้อกรอบรูปไม้ขนาดประมาณ 20 x 30 cm แล้วเกิดเปลี่ยนใจอยากหาชิ้นที่เนื้อไม้มันเนียนๆกว่าอันอื่น เลือกไปเลือกมาก็พลันไปโดนกรอบขนาดใหญ่สุด (ประมาณ A1) แตะนิดเดียวมันก็ค่อยๆโน้มลงตามแรงโน้่มถ่วงโลก เชื่อไหมว่า ผมเห็นเป็นภาพสโลว์โมชั่นชัดเจน แล้วก็ตามด้วยเสียงกระจกแตก ต่อด้วยสายตาอีกหลายคู่ที่พุ่งมาไม่ที่ผมก็ที่กรอบรูปที่แตก ต่อด้วยพนักงานประจำร้านชุดดำที่สเต็ปเท้าเข้ามาอย่างเร็วพร้อมคำพูดประมาณว่า เชิญทางนี้ค่ะ ... ใช่ครับ จริงๆก็มารยาทดีแล้วล่ะ ผมแปลความหมายในหัวได้ว่า เชิญมาจ่ายเงินทางนี้ค่ะและอย่าเสือกเดินหนีไปไหนนะคะ

เยี่ยม ... ได้กรอบรูปไซส์ใหญ่สุดที่มีเศษกระจกแตกยังคงอยู่ในห่อพลาสติก ต้่องขนเอาไปขึ้นรถเองและขนลงจากรถเอง สุดท้ายก็นิ้วนางข้างขวาก็เจอเศษกระจกปักเข้าไปอีก ตอนที่ผมพิมพ์อยู่นี่ก็ไม่ค่อยจะถนัดเลย เพราะระแวงเจ็บ

แวบแรกที่ผมเห็นกรอบรูปค่อยๆล้มลงพร้อมเสียงกระจกแตก ภาพฉากไคลแมกซ์พร้อมเสียงในฟิลม์ของหนังเรื่อง Unbreakable ก็แวบเข้ามาในหัวเฉยเลย ถ้าเคยดูหนังเรื่องนี้ไม่น่าจะลืมฉากที่ Mr. Glass (Samuel L. Jackson) ค่อยๆกลิ้งล้มตกบันไดลงไปทีละขั้นทีละขั้น พร้อมเสียงกระดูกแตกละเอียดแบบเสียงกระจกแตกนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมแต่ผมชอบ Unbreakable มากกว่า Six Sense หลายช่วงตัว หนังเรื่องที่สองของ M. Night Shyamalan เรื่องนี้ถือเป็นหนัง Superhero ที่มีวิธีเล่าเรื่องแบบหน้าด้านๆ เฉยเลย ถึงแม้ Bruce Willis จะเป็นพระเอกง่อยๆที่ค่อยๆค้นพบว่าจริงๆแล้วตัวเองเกิดมาเป็น Superhero ในโลกชีวิตจริงก็ตาม แต่เสน่ห์ของทั้งเรื่องกลับไปตกอยู่กับ Samuel L. Jackson ในบทของ Elijah Price ชายที่เกิดมาพร้อมกับโรคประจำตัวสุดพิลึกพิสดารอย่าง Osteogenesis Imperfecta หรือก็คืออาการที่กระดูกทั่วทั้งร่างล้วนเปราะและแตกได้ง่ายดายสุดๆ ตั้งแต่เด็กเลยถูกเพือนล้อและตั้งชื่อให้ใหม่เสร็จสรรพว่า Mr. Glass เพราะอาการทางกายและสภาพหน้าตาแบบนั้นทำให้กลายเป็นคนเก็บตัว เข้ากับคนอื่นก็ลำบาก วันๆต้องนอนแต่ที่โรงพยาบาล ยังดีที่ยังวาดรูปได้ เขาวาดทุกอย่างที่อ่านมาจาก Comics จนกลายเป็นกิจวัตร

ไม่รู้ว่าอินหนักกับโลกของ Comics ชนิดถอนตัวไม่ขึ้นหรือเปล่่า ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ทฤษฎีของมิสเตอร์กลาสก็น่าสนใจเอามากๆ เขาเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเองรู้สึกว่าจิตอ่อนแอพร้อมจะแตกกระจุยมากที่สุด ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมันอาจจะมีอีกคน ใครสักคนก็ไม่รู้ล่ะที่กลับเข้มแข็งและแข็งแกร่งมากขึ้น มากขึ้นอยู่แน่ๆ อย่าเพิ่งแปลกใจถ้ารู้สึกว่า มิสเตอร์กลาส มีวิธีคิดแบบนี้ นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนต่างยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Superhero จากโลก Comics ที่สุดแสนพิลึกพิสดารแบบที่ผู้กำกับไม่ได้สนเลยมั๊งว่าตัวเองเพิ่งดังสุดๆมาจาก เด็กชายที่เห็นคนตายตลอดเวลา

ผมนึกถึง Mr. Glass ใน Unbreakable ก่อนแล้วค่อยนึกถึง บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ในเรื่อง คนเหนือดวง แล้วค่อยกลับมานึกถึงความเขลาของตัวเอง ไม่ควรใช้คำว่า ซวย แม้แต่น้อยสำหรับที่เจอมาวันนี้

No comments: