Tuesday, January 27, 2009

thai people are alright ?





เราไม่ได้ไปจัตุจักรกันนานหลายปี สภาพหลายอย่างเปลี่ยนไปจนทำเอาเดินหลง พอเริ่มเปลี่ยนจากโซนเฟอร์นิเจอร์เป็นโซนเสื้อผ้าและระดมซื้อของกันหนักข้อมากขึ้น ทำให้ได้ข้อสังเกตบางอย่างที่รู้สึกว่า ไม่ใครก็ใครล่ะที่ดูงี่เง่า เราสองคนพกถุงผ้า-ขอโทษ-ไม่ใช่ถุงผ้าหรอก จริงๆมันทำจากพลาสติก หลังจากเดินซื้อของแต่ละร้านและปฎิเสธถุงพลาสติกจากคนขายแต่ละร้าน ให้แม่ค้าใส่ของลงในถุงที่เราถือมาด้วยทุกร้าน ถ้าร้านไหนคนขายเหมือนเป็นเด็กที่ถูกจ้างมาเฝ้าร้าน ก็จะไม่พูดอะไร แต่ถ้าร้านไหนที่ดูเหมือนเจ้าของร้านเป็นคนขายเองแล้วล่ะก็ เราจะได้ยินคำพูดประเภทนี้ แทบจะทุกครั้งที่ปฎิเสธถุงพลาสติก สายตาที่มองเหมือนพวกเราเป็นตัวประหลาดพร้อมคำพูดประมาณ -พวกนี้เค๊าช่วยโลกร้อน- -ช่วยโลกร้อนซะด้วย--ไม่เอาถุงด้วย ช่วยโลกร้อนนะเนี่ย--
นี่คือความงี่เง่าอะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า การไม่ขอรับถุงที่ดูเหมือนเป็นธรรมเนียมที่ทุกร้านต้องไว้ใส่ของแล้วยื่นให้ลูกค้า มันเกี่ยวอะไรกับแค่โลกร้อน พวกเราแค่ไม่อยากเปลืองถุงของพวกคุณ ไม่รู้ว่าจะเอามาทำไมเยอะแยะ ที่แปลกใจคือ ที่พูดออกมามีแต่เจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะรู้จักเรื่องของโลกร้อนอยู่บ้าง เลิกมองด้วยสายตาประหลาด เรารู้ว่า หลายคนหิ้วถุงผ้าที่ข้างในใส่ถุงพลาสติกที่ใส่ของที่ซื้อมาเยอะแยะในนั้น ประเทศไทยน่าจะเก็บเงินค่าถุงได้แล้ว ประเทศนี้อุดมสมบูรณ์จนคนมันสบายเกินไปนะ

Tuesday, January 13, 2009

Fantastic Plastic Machine ++ Livin' On a Prayer











เพราะหัวกระแทกตอนเดินข้างถนนที่เชียงใหม่ทำเอาปวดฟัน ตอนแรกปวดฟันบนด้านซ้าย แต่พอมากลับมากรุงเทพฯ มันดันปวดฟันล่างด้านซ้ายแฮะ อาการชักจะแปลกๆ และมันทำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ใหม่ที่โคตรจะตื่นเต้น ที่ศูนย์ทันตกรรมของโรงพยาบาลกรุงเทพ ตึกที่อยู่ติดถนนเพชรบุรี ปากซอยศูนย์วิจัย .. ที่นี่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองหลงอยู่ในฉากหนังไซไฟจริงๆ
หาหมอฟันครั้งสุดท้ายน่าจะสัก 4-5 ปีที่แล้ว
แต่แค่ 4-5 ปี มันไม่น่าจะเปลี่ยนไปได้่มากขนาดนี้ พอเข้าไปห้องที่หมอฟันนัดตรวจก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่พอตรวจไปตรวจมา ฟันผมชักมีปัญหากว่าที่คิด ฟันบิ่น เหงือกร่น ฟันบนบิ่นอย่างเห็นได้ชัด หมอสรุปว่า ผมแปรงฟันแรงเกินไป ที่สำคัญมันถูกต้องแบบเถียงไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนซี่ที่ปวดด้านซ้าย เริ่มวิเคราะห็ยากขึ้น เพราะมันปวดแบบอยู่ๆก็ปวด เลยส่งผมไปห้อง x-ray
และที่ห้องนี้แหละ ที่ทำผมต้องตะลึงกับไอ้เครื่องจักรหน้าตาเหมือนเครื่องกลในอนาคตยังไงยังงั้นเลย การ x-ray ช่องปากตอนแรกก็ปกติดี ไม่ได้รู้สึกต่างจากตอน x-ray ปอด แต่พอมา x-ray แบบ zoom ที่ฟันกรามนั้นแหละที่ทำเอางง ก็พี่แกเล่นเอาท่อเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 cm มาทาบกับแก้มผม แค่นั้นเอง พอทาบ 2 ข้างเสร็จ ผู้ช่วยหมอก็บอกให้ผมเดินกลับไปที่ห้อง
และที่ห้องหมอนี่แหละที่ทำเอาอึ้งเข้าไปอีก ตรงเตียงคนไข้ที่ผมนอนมีจอ LCD ประมาณ 21 นิ้วอยู่ และหน้าจอก็เป็นรูป x-ray ภายในปากผมเอง ส่วนหมอก็อยู่ที่หน้าจอของหมอแล้วก็ใช้ เคอร์เซอร์ค่อยๆชี้ให้ผมดูว่าฟันผมเป็นยังไงบ้าง โดยไม่ต้องใช้ฟิลม์และไม่ต้องใช้คนเดินเอามาให้ ทุกอย่างผ่านระบบแลนด์ และถ้าอยากได้ film x-ray ก็มีบริการ print เป็นภาพขาว-ดำให้เอากลับไปดูเล่นหรือเป็นที่ระลึกได้ตามสบาย เฉิบ เฉิบ
มันไม่หนุกอยู่ก็ตรงที่เคสของผมนั้น อาจจะสรุปได้ว่า ฟันร้าว จากการนอนกัดกราม .. เลยได้ข้อสรุปว่า ผมต้อง ไปจัดการเอาส่วนที่อุดออกก่อนเพิื่อดูว่าฟันร้าวจริงมั๊ย ถ้าร้าวจริงก็ต้องอุดและครอบ ตามด้วยถอนฟันคุด ขูดหินปูนและ ทำฟันยางสำหรับนอนตอนกลางคืนไม่ให้กัดฟัน ... แล้วหมอก็จัดแจงสอนวิธีแปรงฟันให้ใหม่หมด ควรใช้แปรงขนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟัน่ทุกครั้ง อันนี้ไม่ไหวจริงๆ ใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งที่แปรงฟัน ... สรุปหนูๆทั้งหลายควรไปหาหมอฟันทุกๆ 6 เดือน และอย่ากลัวหมอเลยนะ เพราะสมัยนี้แล้ว เหมือนอยู่ในยานอวกาศมากกว่าน่า!

ไม่เช่นนั้นท่าน อาจเป็นเช่นนี้ เผชิญกับการผ่าฟันคุดในเวลาที่ไม่พร้อมลุยเหมือนสมัยวัยรุ่น!

มีนัดผ่าฟันคุดกับหมอสมเกียรติ หมอฟันสามัญประจำบ้าน เคยผ่าฟันคุดกับแกมาแล้วเมื่อ 4 -5 ปีที่แล้ว จำได้้ว่าหมอแกมือเบา ผ่าไม่เจ็บ ก็มันฉีดยาชาจะไปเจ็บได้ยังไง ที่สำคัญมันลืมความรู้สึกนั้นไปหมดแล้ว ความรู้สึกตอนยาชาหมด ความรู้สึกที่ต้องกัดก้อนสำลี ชุ่มเลือด โชกไปด้วยเลือดและนำ้ลายเหนียวๆ แถมต้องกลืนเลือดลงคอไปเรื่อยๆอีก แล้วผมก็ตระหนักได้ทันทีหลังจากหมอเอาผ้าคลุมสำหรับผ่าตัดมาปิดหน้าผมไว้ กันของเหลวกระเด็นจากปากมาโดนเสื้อผ้า เสียงเบาๆ ประมาณ " welcome to the ... real world " เวลาเกิดเสียงที่มันดังจากการที่หมอกำลังใช้เครื่องจักรกลบางอย่างกับภายในช่องปาก โดยที่่เราไม่รู้สึก (เพราะชา) แต่เสียงมันสะท้อนไปมา ก้องอยู่ในรูหู มันทำให้จินตนาการของผมเตลิดไปไกลสุดขอบนรก คลินิกทันตแพทย์ อรุณากูร เช้านั้น ถ้าใครผ่านไปได้ยินเสียงเครื่องมือพวกนั้น ช่วยชะโงกหน้าแล้วจำมาบอกกันหน่อยเถิดว่า ... ช่องปากของผมโดนชำเราอะไรไปบ้าง

Tuesday, January 6, 2009

no ghost in the shell







หนังของ Kiyoshi Kurosawa ก็ยังเป็นหนังของ Kurosawa เหมือนเดิม คนที่เคยดูหนังของเขามาแล้วหลายเรื่องน่าจะปรับตรรกะและยอมรับตรรกะของเขาได้ดี Retribution (2006) เป็นหนังอีกเรื่องที่เนื้อหายังวนเวียนอยู่ที่ ความอ้างว้างโดดเดี่ยว เมืองใหญ่ ผี และความดำมืดในใจมนุษย์ ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกว่า Retribution แทบไม่ต่างจากงานเก่าๆอย่าง Cure, Kairo และ The Loft
หนังเดินหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่สนว่าคนดูจะรู้สึกอะไร หนังสอบสวนที่มีเรื่องของผี จิตเภท และฉากโตเกียวแบบหลอกๆ เดินเรื่องแบบสะเปะสะปะและคาดไม่ถึง หลายครั้งที่มีคำถามสวนขึ้นมาเวลาเห็นเรื่องดำเนินไป แล้ว Kurosawa ก็เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร เพราะไม่ทันถึงวินาทีคำถามที่สงสัยก็ถูกเฉลยแบบโง่ๆน่ะ
ลองมาดูตรรกะประหลาดๆของ Retribution อย่างเช่น วิธีฆาตกรรมในเรื่องต้องใช้วิธีกดเหยื่อจมนำ้ทะเลจนหายใจไม่ออกจนตาย ในโรงพยาบาลโรคประสาทก็ใช้วิธีนี้จัดการคนไข้ที่ไม่เชื่อฟังหรือมีปัญหาเช่นกัน ผีที่โผล่ออกมาก็ตือเสียงความจริงในใจของแต่ละคน คนที่เคยเห็นผีผู้หญิงชุดแดงจะรับความรู้สึกของเธอได้ คือความรู้สึกที่คนใกล้ชิดที่สุดไม่เคยสนใจใยดี จนต้องฆ่าทิ้ง หรืออย่าง ประโยคสุดท้ายที่พูดวนไปวนมาไม่ยอมหยุด "ถ้าฉันตาย พวกแกก็ต้องตายตามไปด้วย" สุดท้ายคือ ผีในเรื่องนี้ตอนมีชีวิตเป็นคนไข้โรคจิต แน่นอนว่าพอเป็นผีแล้วโรคจิตหนักขนาดไหน ลองหามาดูกันด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันจริงๆ