Wednesday, April 29, 2009

CHANGE - Oh - Ba - Marks





ผมเห็น Marks ครั้งแรกตอนที่เข้าไปอ่าน blog ของ pentagram เมือต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ภาพหนังสือปกแดงทั้งเล่ม เดาขนาดไม่ถูกเพราะไม่ได้ตั้งใจจะจำว่าเล่มประมาณไหน แต่ที่น่าสนใจตรง product detail ว่า หนังสือเล่มนี้ หนาตั้ง 800 หน้า อัดแน่นด้วยเครื่องหมายการค้าหลากหลายองค์กร ตั้งแต่ระดับใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดิน ไปยันธุรกิจและบริการขนาดย่อมจำนวน 400 เครื่องหมาย ที่ Pentagram รวบรวมออกมาตั้งแต่ปี 1972 จนถึงป้จจุบัน ไอ้ตัวงาน Pentagram ก็น่าสนดีหรอก แต่ที่น่าสนใจมากกว่าสำหรับผมคือ Pentagram: Marks 400 Symbols and Logotypes พิมพ์จำนวนจำกัดอีกต่างหาก ยอดแค่ 1,000 เล่ม จัดพิมพ์โดย Laurence King ด้านล่างของบทความใน blog สามารถ link ต่อไปโผล่หน้า amazon.co.uk ได้ ถ้าคุณเกิดความใคร่อยากได้มาเป็นเจ้่าของ

ผมไม่รอช้า คลิกต่อเข้าไปถึง Amazon.co.uk ก็เกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาเต็มๆว่า ช่วงที่อยากจะสั่ง Amazon เนี่ย ค่าเงินปอนด์รูดลงกระจุยกระจาย ผมแทบลืมไปแล้วว่า เงินปอนด์เคยมีค่า ปอนด์ละ 40 บาท (สมัยนั้นดอลล่าร์ US เท่ากับ 25 บาท) แล้วมันก็พุ่งทะยานไปสูงสุดในชีวิตคือ ปอนด์ละ 90 บาท แต่ว่าความไม่ยั่งยืนนี่แหละทีมันแสนยั่งยืนยง วันนี้ เงินปอนด์ตกลงมาเหลือเพียงแค่ปอนด์ละ 50 - 51 บาทเท่านั้น ปีที่แล้วผมยังจำได้ว่า เงิน 1 ยูโรยังเท่ากับ 55 บาทและปอนด็นึงเฉลี่ยประมาณเกือบจะ 70 บาทอยู่เลย

ลากมาซะยาว สรุปก็คือ สั่งซื้อ Marks ผ่าน Amazon.co.uk แถมด้วย list อื่นอีก 3-4 เล่ม ที่ต่้องการแค่ให้คุ้มค่าส่ง ด้วยความอยากได้จัดๆ ตอนที่ click order สั่งซื่อ Marks นั้นมันยังขึ้นมาว่า Pre-Order เพราะหนังสือตัวจริงนั้นยังมาไม่ถึง ไม่เป็นไร สั่ง Amazon มีการ trace back ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ตอย check ดูก็พอ ว่าวันนัดหมายจัดส่งนั้น หนังสือถูกส่งมากองหน้าบ้านหรือยัง นี่คือเนื้อหาอีเมล์เรื่องรายละเอียดการสั้งซื้อของผม

Order #: 202-0115641-6935537
Delivery Method: Air Mail
Delivery Preference: Group my items into as few deliveries as possible
Subtotal of Items: £62.14
Postage & Packing: £16.95
------
Total before VAT: £79.09
VAT: £0.00
------
Total: £79.09
Promotional Gift Certificates: -£0.00
------
Total for this order: £79.09

ทั้งหมด 4 เล่มตามนี้ - "The River Cafe Cook Book" Rose Gray; Paperback; ราคา £11.38
- "Design as Art (Penguin Modern Classics)" Bruno Munari; Paperback; ราคา £6.69
- "The Art of Looking Sideways" Alan Fletcher; Hardcover; ราคา £17.47 ( น่าอิจฉารุ่นพี่ที่สั่งพร้่อมผมมาก เพราะ The Art of Looking Sideways ตอนนี้ถือว่าถูกอย่างกับให้เปล่า ทั้งที่คนเขียนเองก็ตายไปแล้วด้วย - ทำไมมือหนฃึ่งถึงราคาไม่ถึงพัน )
ส่วน "Pentagram: Marks: 400 Symbols and Logotypes" Pentagram; Paperback; ราคา £26.60 (เท่ากับเล่มละประมาณ 1,350 บาทเท่านั้น) ทั้งสี่เล่มกินค่าส่งประมาณ 16.95 ปอนด์ (ประมาณ 850 บาท)

ผมรอด้วยความรู้สึกก็ไม่ถึงกับจดจ่อ ... บางทีก็ลืมไปเลย ผ่านเป็นเดือนถึงนึกขึ้นมาได้ว่า หนังสือพวกนั้นมันไปส่งที่ไหนแน่? สุดท้่่าย ผมก็อีเมลไปถาม Amazon.co.uk ได้รับคำขออภัยอย่างสุดซึ้งกับความผิดพลาด พร้อมกับการป้ายความผิดให้กับระบบ logistics ที่หนังสือที่ชื่อ Marks นั้น เค๊าหาให้ผมไม่ได้จริงๆ ความรู้สึกตอนนนั้น ยอมแพ้แล้ว ... รู้สึกว่า ไม่ต้องซื้อก็ได้่วะ จนผมมาเห็น Marks อีกทีที่ ASIABOOKS ที่เอ็มโพเรียม ราคา 1,895 บาท พิมพ์สีดำสีเดียวลงบนกระดาษแบบกระดาษที่ใช้พิมพ์ไบเบิล และความหนาที่ใน web เขียนบอกไว้ว่า 800 หน้านั้น ก็เพราะว่า จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้เก็บเล่มแบบที่เรียกว่าพับแบบ french fold คือพับเก็บเล่มแล้วไม่ต้องตัดให้หน้ากระดาษขาดจากกันเป็นแผ่นๆหนังสือปกติ ส่วนที่พิมพ์ก็ต้องพิมพ์ลงกระดาษเพียงหน้าเดียว ขนาดแค่ 280 mm x 240 mm หนาประมาณเกือบ 40 mm กับราคาเกือบๆ 1,900 บาทนั้น ก็ถือว่าแพง

.... แต่ผมก็สั่งซื้อและเป็นเจ้าของไปเรียบร้อย (แน่นอนว่าสั้งทางโทรศัพท์กับ ASIABOOKS ) เลยมาลอง search หา Marks อีกทีใน Amazon.co.uk และแล้ว ผมก็ต้องตะลึงเกินคาด Pentagram: Marks: 400 Symbols and Logotypes ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 600 ปอนด์ถ้วน หรือประมาณ 30,000 กว่าบาท - เหมือนโกหก แต่เป็นเรื่องจริง ... ทำไมราคาขึ้นจาก £26.60 เป็น £600.00 ในเวลาแค่เดือนกว่าๆเท่านั้น คนที่สงสัยเวลาเจอหนังสือหน้าตาเสื้อแดงๆ ประมาณในรูป อย่ารอช้าจงรีบคว้าโดยไว แค่เก็บไว้ลุ้นเก็งกำไร ก็อยู่ตัวสบาย เฉิบ เฉิบ

Wednesday, April 22, 2009

Action = Reaction



ทุกครั้งถ้ามีโอกาสอ่าน ไทยรัฐ ส่วนที่ชอบที่สุดคือ หน้าสุดท้ายของส่วนแรก ( ประมาณหน้า 19) ใช่แล้ว ผมกำลังพูดถึง ข่าวสั้นทันโลก นั่นเอง เรียกว่าชื่นชอบตั้งแต่ ชื่อ ข่าวสั้นทันโลก แล้วล่ะ เพราะข่าวที่เอามาลงน่ะ ไม่อ่านก็ทันโลกได้ อย่างที่ลงฉบับที่ 18719 ประจำวันพุธที่ 22 เมษายน 2522 ชื่อข่าวว่า กรรมทันตา

วันที่ 20 เม.ย. ตำรวจแถลงข่าวจับนายอัทธพล แมนกระโทก อายุ 42 ปี พร้อมทรัพย์สินมีค่าต่างๆ 216 รายการ ตำรวจแถลงว่า เมื่อคืนวันที่ 17 เม.ย. นางรัตนาวดี คลังวิเชียร ผู้เสียหาย เดินทางมากับขบวนรถไฟด่วนพิเศษที่ 13 วิ่งจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ แจ้งว่า ขณะหลับอยู่ในตู้นอน ถูกคนร้ายลักทรัพย์ ประกอบด้วย เงินสด 1,400 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สร้่อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น สลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 16 เม.ย. 3 คู่ จากการสอบสวนเชื่อว่าขณะเกิดเหตุขบวนรถไฟวิ่งอยู่ระหว่างสถานีไร่อ้อยกับสถานีบ้านดารา จังหวัด อุตรดิตถ์ เมื่อตรวจสอบตามรางรถไฟระหว่าง 2 สถานี พบชิ้นส่วนนิ้วเท้ามนุษย์ 5 นิ้วตกอยู่ และมีทรัพย์สินผู้เสียหายตกอยู่ใกล้กัน นอกจากนี้ยังพบสำเนาบัตรประชาชนของนายอัทธพลอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เชื่อว่า นายอัทธพลเป็นคนร้าย จนไปพบตัวอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัด อุตรดิตถ์ ขณะรักษาบาดแผล ก่อนขยายผลได้ของกลางเพิ่มเตืมจากบ้านผู้ต้องหา นายอัทธพลรับว่าได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง ทำมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง ตั้งแต่เดือนม.ค.-มี.ค. 2552 ใช้วิธีซ่อนตัวอยู่ในตู้รถนอน จนกระทั้งกลางดึก ผู้เสียหายหลับจึงเข้าไปขโมยทรัพย์สิน ก่อนจะกระโดดลงกลางทาง แต่ครั้งนี้พลาด ถูกล้อรถไฟทับนิ้วเท้าขวาทั้ง 5 นิ้วขาด จึงนำทรัพย์สินผู้เสียหายซ่อนไว้ข้่างทาง ก่อนไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านส่งโรงพยาบาล กระทั่งถูกจับกุมได้

โปรดสังเกต:
- ภาษาและวิํธีที่ใช้เขียนข่าว
- เนื้อหาของข่าว
- จุดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจในเนื้อข่าวอย่างเช่น พบชิ้นส่วนนิ้วเท้ามนุษย์ 5 นิ้วตกอยู่ หรือ นอกจากนี้ยังพบสำเนาบัตรประชาชนของนายอัทธพลในที่เกิดเหตุด้วย

สรุปแล้ว คนตั้งชือว่า ข่าวสั้นทันโลก (แถมมีโลโก้ลูกโลกด้วย) ช่าง ironic และมีอารมณ์ขันร้ายเหลือ ... คราวหน้าเวลาเปิดอ่านไทยรัฐ นอกจากหน้าบันเทิงและโปรแกรมหนังแล้ว อย่าลืม ข่าวสั้นทันโลก นะครับ

Thursday, April 16, 2009

I love this feelings! I love this city! I love this country!


















ผมถ่ายภาพพวกนี้ด้วยกล้องมือถือจากสถานี BTS ศาลาแดง บ่ายวันพุธที่ 15 เมษายน 2552 ภาพฝูงชนปริมาณมหาศาลอัดแน่นตั้งแต่แยกศาลาแดงตัดกับพระราม 4 เลยไกลไปถึงหน้าซีพีเป็นอย่างน้อย อาจจะถึงธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ที่เกือบจะโดนวางเพลิงด้วยค่าจ้างวานราคา 5,000 บาทนั่นแหละ แทบทุกตารางนิ้วของถนนสีลมถูกฝูงชนปิดล้อมอย่างบ้าคลั่ง พื้นถนนนองไปด้วยแอ่งน้ำและความข้นคลั่กของแป้งดินสอพอง เอาเลยครับ ฉลองกันให้เต็มคราบ ไม่ว่าจะเสื้อสีไหน ชายหรือหญิง ผู้ใหญ่หรือเด็ก เกย์หรือเลสเบี้ยน รัฐบาลหรือม็อบ พธม นปก หรือ นกป มท 1 หรือ ผบ ทบ ออกมาเล่นกันให้เต็มคราบ ปลดปล่อยความรู้สึกบีบคั้นตลอดสงกรานต์จัญไร ที่ผ่านมา สวัสดีปีใหม่ครับ มาช้ายังดีกว่าไม่มา ..
(ขอบคุณพิเศษ ภาพถ่าย 2 ภาพแรกจาก thingsblog ครับ)

Wednesday, April 15, 2009

Anatomy of Japanese







ติดตามอ่านงานของ Kaiji Kawaguchi เรื่อยมา ตั้งแต่ ยุทธการใต้สมุทร ( Silence Service) Da vin ci, Eagle, Zipang จนเรื่องล่าสุด Spirit of the Sun​ หรือชื่อภาษาไทย ยุทธการจุดตะวัน พร้อมตัว logotype ที่ลอกแบบยุทธการใต้สมุทร ของวิบูลย์กิจมาเป๊ะๆ คนที่คิดจะตามอ่านของ Kawaguchi คงต้องทำใจเรื่องการออกแบบตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครผู้หญิง ช่วยไม่ได้จริงๆที่เนื้อหาที่น่าทึ่งของแต่ละเรื่องกลบจุดอ่อนที่ว่าซะมิด ตามอ่านมานาน ก็พึ่งจะเคยอ่านบทสัมภาษณ์แบบเป็นเรื่องเป็นราวของเขาก็ตรงส่วนท้ายของ Zipang เล่ม 22 นี่เอง นี่คือบทสัมภาษณ์เล็กๆที่ทำให้เข้าใจความยิ่งใหญ่ของ mangaka ผู้พิสมัยการนำเสนอประเด็นหนักๆอย่างเรื่อง สงครามและการเมืองระหว่างประเทศเป็นที่สุด

จากประเด็นสำคัญในเรื่อง "ยุทธการใต้สมุทร" กลายเป็นประเด็นใหญ่โตที่ว่า จากนี้เราจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เรียกว่า "ประเทศ" เลยอยากจับประเด็นให้แคบลงมาอีกนิดในผลงานที่กำลังตีพิมพ์อยู่อย่าง "Zipang" และ "Spirit of the Sun" ต่อเนื่องมาจาก "ยุทธการใต้สมุทร" ในมุมมองที่แตกต่าง และพูดถึงประเด็น "คนญี่ปุ่นคืออะไร" ให้เข้มข้นขี้น

จริงๆแล้วเวลาที่จะเริ่มเขียนเรื่องใหม่ เขาจะคิดพล็อตที่สนุกและชวนตื่นเต้นให้ได้ก่อน อย่างเรื่อง Zipang ก็คือเรื่องราวของเรือและลูกเรือของกองกำลังป้องกันตนเองหลงมิติเวลาเข้าไปอยู่กลางสงครามแปซิฟิก จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามองคนญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับสงครามแปซิฟิกหรือสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วยมาตรฐานของคนปัจจุบัน ส่วนใน Spirit of the Sun นั้น ญี่ปุ่นแตกออกเป็นสองส่วนเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เหมือนกับในคาบสมุทรเกาหลีขี้นที่ญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร น่าจะเป็นโอกาสให้มองประเทศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นด้วยสายตาของคนนอกได้ เมือประเทศเกาะแยกเป็นสองส่วน นี่ก็ญี่ปุ่น นั่นก็ญี่ปุ่น และถ้า 2 ญี่ปุ่นที่แยกออกไปมีการเมืองและเศรษฐกิจที่แตกต่างกันก็น่าจะยิ่งมองกันด้วยสายตาของคนนอกได้มากขึ้น

Kawaguchi บอกว่าตอนที่เขียน "ยุทธการใต้สมุทร" เคยสนใจมากว่า สงครามคืออะไร และในสงครามทั้งหมดที่สนใจมากเป็นพิเศษก็ สงครามแปซิฟิก แต่ถ้าจะเขียนเชิงประวัติศาสตร์คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาบอกว่า สิ่งที่เขาอยากถ่ายทอดใน Zipang นั้น ไม่ใช่ประวัติศาสตร์แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกในเหตุการณ์ให้ผู้อ่านต่างหาก

เพราะการ์ตูนโดยพื้นฐานแล้วคือเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมา เวลาที่คิดจะนำความสมจริงมาสู่เรื่องแต่งก็ต้องใช้เอกสารหรือความรู้เฉพาะทาง เมื่อเทียบกับตัวหนังสือแล้ว การ์ตูนสื่อสารได้ตรงไปตรงมามากกว่าส่วนที่ตัวหนังสือทำไม่ได้ การ์ตูนสามารถสร้างความรู้สึกสมจริงได้ด้วยพลังของภาพ เขาคิดว่าที่การ์ตูนญี่ปุ่นก้าวหน้าขนาดนี้น่าจะเป็นเพราะคนญี่ปุ่นมีความสามารถในการเข้าใจภาพเป็นพิเศษ คนพูดกันบ่อยว่า Tezuka Ozamu เป็นผู้วางรากฐานให้วงการการ์ตูนญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วในประวัติศาสตร์ คนญี่ปุ่นชื่นชอบภาพเขียน และมีความเข้าใจมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว ตั้งแต่สมัยภาพม้วน การที่อ่านการ์ตูนได้สนุกขนาดนี้เป็นความรู้สึกพิเศษเฉพาะคนญี่ปุ่น ในยุโรปเองการมองการ์ตูนก็แตกต่างไปจากญี่ปุ่น

ในความคิดของเขามีทั้งความรู้สึกอยากปฎิเสธและความภูมิใจในคนญี่ปุ่น ทำไมถึงทำสงครามแบบนั้นลงไปได้ คิดว่าจะต้องขุดคุ้ยความใช้ไม่ได้ของคนญี่ปุ่นมาเขียนให้หมด แต่อีกด้านก็มีความภูมิใจในคนญี่ปุ่น อย่างเรื่อง ยุทธการใต้สมุทร ที่ใช้เวลาเขียนทั้งหมด 7 ปีครึ่ง เขาบอกว่ายิ่งเขียนไปเรื่อยๆเนื้อหาก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการทำสงครามเต็มรูปแบบจริงๆระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น เขายกเครดิตให้ผู้อ่านที่ช่วงเวลานั้นคงต้องการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นอย่างเข้มข้นพอดี

อ่านบทสัมภาษณ์ของ Kawaguchi จนจบแล้ว ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ความคิดของผู้ชายคนนี้สุดยอดไปเลย และไม่แปลกถ้าจะต้องตามอ่านผลงานของเขาต่อไป ถึงแม้ตัวคาแร็กเตอร์ที่ส่วนมากเป็น คนเพศชาย จะวาดออกมาได้ห่วยแตกขนาดไหนก็ตาม

Monday, April 6, 2009

Meetings with Remarkable People



สำหรับคนที่เรียนในโรงเรียนโปรแตสแตนท์มาตลอด 12 ปีอย่างผม เนื้อหาที่ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ พระเยซู ในหนังสือ OSHO คุรุวิพากษ์คุรุ ของ GMBooks ที่แปลมาจาก Meetings with Remarkable People โดย โตมร ศุขปรีชา นับว่าน่าสนใจเกินคาด
ผมรู้จักชื่อ OSHO ครั้งแรกๆตอนที่ ภิญโญ เขียนถึงคำสอนของเขาลงในมติชน รายวัน ปีไหนจำไม่ได้แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะรู้สึกเฉยๆกับวิธีคิดแบบนั้น เหมือนเคยได้ยินจากที่อื่นมาแล้ว พอมาช่วง 2 ปีหลังตอนเดินตาม Kino หรือ Asia Books ก็เห็นปกหนังสือที่เขียนโดย OSHO เรียงเต็มแผงจนเอียนไปเหมือนกัน แต่พอเห็นเล่มนี้ที่ว่าด้วยการวิพากษ์คำสอนของเหล่าศาสดาและปราชญ์ที่สำคัญของโลก ก็เลยอยากรู้เหมือนกันว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณที่ชาวตะวันตกศรัทธามากอย่างเขาจะวิพากษ์ศาสดาหรือนักคิดอย่าง พระพุทธเจ้า พระเยซู​ คาริล ยิบราน หรือว่า นีทเช่ ได้น่าสนใจแค่ไหนกัน
OSHO เปิดเรื่องด้วยประโยคคำถามว่า ใครคือพระเยซู เขาคิดว่า ผู้ตั้งคำถามนี้ผิด ผู้ตอบจึงผิดไปด้วย คำถามนั้นมาจากคนที่สงสัยในความเป็นพระเจ้าของพระเยซู และคำตอบก็มาจากคนที่ไม่พร้อมจะเชื่อในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ชาวยิวพร้อมจะเชื่อว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ส่วนชาวครืสต์พร้อมจะเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทุกคำถามที่ถามนั้นผิด คำตอบก็เช่นกัน เพราะอะไร ก็เพราะคำตอบนั้นมาจากความรู้ของชาวยิว หรือความรู้แบบมุสลิม หรือ ฮินดู ส่วนคำตอบมาจากความรู้แบบคริสต์ และความรู้นั้นก็ไม่อาจให้คำตอบได้
ในทรรศนะของ OSHO นั้น พระเยซูไม่เคยสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงกว่าคนจะตายบนไม้กางเขนของชาวยิว พระเยซูถูกนำลงจากไม้กางเขนหลังเวลาผ่านไปแค่ 6 ชั่วโมง เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างเศรษฐีที่เห็นใจพระเยซูกับปอนทิอัส ปิลาส พวกเขาตั้งใจตรึงกางเขนให้ช้าที่สุดของวันศุกร์ เพราะวันเสาร์เป็นวันซับบาธ ชาวยิวจะหยุดทำทุกอย่าง
ทีนี้เราก็พอจะเดาได้ถึงเรื่องการฟื้นคืนชีพของพระเยซู - จริงๆแล้วพระองค์ถูกพาไปจากแคว้นจูเดีย พอหายดีแล้วก็ย้ายไปอินเดียและมีชีวิตยืนยาถึง 112 ปีที่แคว้นแคชเมียร์
OSHO บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่แคชเมียร์เช่นเดียวกับโมเสส OSHO ยืนยันว่าตัวเองเคยไปหลุทศพของทั้วคู่มาแล้ว ที่กล้ายืนยันว่าเป็นหลุมศพของทั้งคู่ เพราะหลุมศพสองแห่งนี้เท่านั้นที่ไม่ได้หันไปยังกรุงเมกกะ ทั้งที่ชาวมุสลิมจะฝังศพโดยให้ศีรษะหันไปทางกรุงเมกกะ ที่สำคัญคือ คำจารึกบนหลุมศพเป็น ภาษาฮีบรูว์ ที่เขียนเอาไว้ว่า โจชัว
ก็อย่างที่บอกแต่แรกคือ ผมไม่เคยได้ยินทฤษฎืนี้มาก่อนจริงๆ และถ้าอยากรู้รายละเอียดยิบย่อย ลองหาอ่านกันได้่ครับ สนุกมาก ไม่เฉพาะเรื่องพระเยซู แม้แต่นีทเช่ OSHO ยังกล้าพูดเลยว่า จริงๆแล้วเค๊าอาจจะเจ๋งกว่า พระพุทธเจ้า ด้วยซำ้ ถ้าเกิดทางตะวันออก