Thursday, September 10, 2009

Live and Let Die.



ขอแสดงความยินดีกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายทุกท่าน ที่ได้ทางเลือกใหม่ตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่อนุญาตให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถทำ "พินัยกรรมชีวิต" หรือ "หนังสือแสดงสิทธิปฎิเสธการรักษา" (Living Will) ที่แปลว่า การไม่ขอรับการรักษาที่ทำไปเพื่อยืดการตายหรือยื้อชีวิตที่ไม่อาจฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้ อย่างเช่น การขอให้หมอไม่ต้องเจาะคอใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่เอาสายยางให้อาหาร ไม่ต้องการการกระตุ้นหัวใจ ข้อความในมาตรา 12 ระบุว่า "บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้่ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฎิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจากความผิดทั้งปวงๆ" อ่านแล้วงงไหม ไม่เป็นไร เอาเป็นว่า การใช้สิทธิตามเจตนาที่ว่านี่ทำได้ 2 วิธี คือ 1. ผู้ป่วยเขียนหรือพิมพ์หนังสือแสดงเจตนาด้วยตัวเอง 2.ถ้าเจ็บหนักขนาดที่เขียนเองไม่ไหว ให้แสดงเจตนาเป็นคำพูดต่อหน้าหมอ-พยาบาลที่รักษา แล้วค่อยให้คนอื่นช่วยพิมพ์ให้แล้วค่อยเซ็นชื่อ (ถ้าไหวนะ) พร้อมพยาน
กฎหมายนี้น่าสนใจมากตรงนี้ครับ ในกรณีที่ผู้ป่วยทำพินัยกรรมปฎิเสธการยื้อชีวิต แต่ญาติไม่ยอมหรือไม่เห็นด้วย หมอต้องทำตามความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก ตรงนี้แหละ ที่ความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างลูก-หลานที่อยากทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อชีวิตคนที่รัก นานขึ้นสักชั่วโมงหรือสักวินาทีก็ยังดี แต่ความรู้สึกของคนที่ไม่อยากอยู่แล้วล่ะ กรณีนี้ จะเรียกว่า ใครเห็นแก่ตัวกว่ากัน คนที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือคนที่อยากไปให้พ้นจากภาระของคนที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป บอกตามตรงว่า รู้สีกดีที่ประเทศไทยยอมใช้กฎหมายมาตรานี้เจงๆ เราจะเป็นอิสระกันถ้วนหน้า สุดท้ายเวลาที่ต้องตาย คนเราก็ต้องตายไปคนเดียว ไม่ใช่หรือ - ว่าแล้ว subtitled ภาษาไทยในหนัง Kairo ก็ผุดขึ้นมาอีกจนได้ - ความตายคือความเงียบเหงาชั่วนิรันดร์ .... ความตายคือความโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์

No comments: